ถาม:  น้ำอบไทย เอามาบูชาพระเจดีย์ โดยพรมพระเจดีย์อย่างนี้ได้ไหมครับ ?
      ตอบ :  ถือว่าบูชาด้วยของหอม แต่ก็ดูด้วย ถ้าที่ ๆ เขาปิดทองไว้สวย ๆ อย่าไปพรมเลย เสียเขาหมด
      ถาม :  ถ้าเป็นเจดีย์ร้าง เจดีย์เก่า ?
      ตอบ :  มีอานิสงส์เหมือนกัน คือขอให้เราตั้งใจถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา เพราะเจดีย์ส่วนใหญ่ก็สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึก “เจติยะ” ที่ระลึก บอกชัดอยู่แล้ว ส่วนใหญ่คือระลึกเป็นอนุสติถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะถวายก็มีสติสัมปชัญญะหน่อย ถวายไปทั้งขวดเลยก็ได้ ไม่ต้องไปพรมหรอก
      ถาม :  ............................
      ตอบ :  พวกที่จะอยู่ในลักษณะของเทวทัตกับพระพุทธเจ้า เขาจะต้องตั้งใจจองล้างจองผลาญกัน เทวทัตเขาอธิษฐานตั้งใจจองล้างจองผลาญพระพุทธเจ้าเท่าจำนวนเม็ดทรายที่เขากอบขึ้นมา เพราะว่าชาตินั้นพระพุทธเจ้ากับพระเทวทัตเป็นพี่น้องกัน แล้วพระเทวทัตเขาเป็นพี่ที่ขี้โมโหมาก น้องทำอะไรไม่ถูกใจ ก็แหลกอย่างนั้นแหละ
              คราวนี้เขาแบ่งที่ดินกันทำไร่อ้อยคนละครึ่ง แล้วมีพระปัจเจกพุทธเจ้าออกจากนิโรธสมาบัติผ่านมาพอดี พอดีว่าพระเทวทัตในชาตินั้น กลับบ้านไปกินข้าว พระพุทธเจ้าท่านยังเฝ้าไร่อยู่ พอเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ามาท่านก็ดีใจ ตั้งใจจะถวายน้ำอ้อย คราวนี้น้ำอ้อยสมัยนั้นเนื่องจากบุญคนสูงมาก ไม่ต้องเสียเวลามาคั้น เหมือนน้ำทีอยู่ในกระบอกไม้ไผ่ พอตัดแล้วก็เทได้เลย
              คราวนี้ท่านก็ตัดอ้อย ๒ ลำ ไปเทถวายให้พระปัจเจกพุทธเจ้า พอเทถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าเสร็จเรียบร้อย แล้วก็ เออ...เราก็อยากให้พี่ชายเราได้บุญบ้าง แต่ว่าพี่ชายเราเป็นคนนิสัยหุนหันโมโหร้าย ถ้าหากว่าเราทำไปดีอาจจะกลายเป็นร้ายก็ได้ เพราะฉะนั้น...รอเอาไว้ถึงเวลาที่เขามา บอกให้เขาโทนาบุญของเราดีกว่า ถึงเวลาที่เทวทัตในชาตินั้น ท่านกลับจากกินข้าวมาถึงไร่ พระพุทธเจ้าก็บอกให้ฟังว่า “วันนี้ได้มีโอกาสทำบุญกับพระคุณเจ้า ที่ท่านผ่านมาทางด้านนี้ แล้วอยากจะทำให้พี่ด้วยก็เกรงใจ เอาเป็นว่าบุญทั้งหมดที่ผมทำมา ให้พี่โมทนาด้วยก็แล้วกัน” ปรากฏว่า พระเทวทัตโกรธอีก เป็นคนนิสัยมักโกรธ บอกว่า “แกกลัวข้าจะได้ดีกว่า ถึงมาทำอย่างนี้ แกตั้งใจจะไปเป็นพระพุทธเจ้าใช่ไหม ? ถ้าอย่างนั้น...แกเกิดมากี่ชาติ ข้าจะตามไปจองล้างจองผลาญ แล้วแกก็กอบทรายขึ้นมา จะตามจองล้างไปเท่าจำนวนเม็ดทรายที่แกกอบขึ้นมา
      ถาม :  แล้วทำไมกรณีแบบนี้ พระพุทธเจ้าองค์อื่นไม่มี ?
      ตอบ :  มีเหมือนกัน แต่ว่าอาจจะหนักบ้างเบาบ้างต่างกันไป ถ้าหากว่าบางทีก็ไม่มีเอาซะเลย ก็จะเหลือแต่พญามารที่เป็นคู่ปรับเบอร์หนึ่ง
      ถาม :  อย่างนี้เราก็มีสิทธิ์มีคนอธิษฐาน ตามจองล้างเราเหมือนกัน ?
      ตอบ :  เชิญเลยจ้ะ ก็ปล่อยเขาไปฝ่ายเดียว เราก็อย่าตามเขาไปสิ พระพุทธเจ้ากับพระเทวทัตไม่ใช่เกิดมาเจอกันทุกชาติ เพราะว่าชาติไหนที่ทำความชั่วมาก ๆ ท่านก็ลงนรก กว่าจะเกิดมาได้เจอกันทีหนึ่งก็นานถึงได้จองกันไม่รู้จบมาจนถึงปัจจุบันอย่างไร ประเภทว่าเกิดข้างบนมาเกิดข้างล่างบ้างสลับกันไป เจอกันบ้างไม่เจอกันบ้าง แต่เจอกันทีไรได้เรื่องทุกที
      ถาม :  จำเป็นไหมคะว่าคนที่เป็นสาวกภูมิ เราก็ตัดใจแล้วว่าอย่างไร ๆ เราขอนิพพานชาตินี้ คนที่เป็นพุทธภูมิอยู่นี่ เขาจะต้องเจออะไรที่หนักกว่าเราไหมคะ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่จ้ะ ถ้าเป็นสาวกภูมิโดยตรง ก็โอเค แต่ถ้าเป็นสาวกที่มาจากพุทธภูมิ ยังคงเจอหนักอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่มีสิทธิ์เข้านิพพานได้เท่านั้นเอง อะไร ๆ ก็ทำยากกว่าคนอื่นด้วย เพราะวิสัยเดิมต้องมาเป็นครูเขา ในเมื่อต้องมาเป็นครูเขาต้องรู้ละเอียดกว่าคนอื่นเขา ไม่อย่างนั้นเป็นครูเขาไม่ได้ เขาเรียนแค่ ๑ เราอย่างน้อยต้องเรียนถึง ๔ เท่า ไม่อย่างนั้นเป็นครูเขาไม่ได้ อย่างนั้นยากหน่อย แต่ไม่เป็นไรหรอก เท่ห์ดี ทำลำบากกว่าเขาแล้วได้อย่างนี้
      ถาม :  จะรู้ได้อย่างไรว่าต้องทำอะไร ?
      ตอบ :  ไม่ต้องรู้หรอก มีหน้าที่ทำ ๆ ไปเถอะ รู้ว่าเป็นอะไรมา ไม่สำคัญเท่ากับทำให้ได้ ถ้าได้แล้วค่อยไปรู้ก็ยังทัน
      ถาม :  ฝึกสมาธิโดยไม่ต้องมีศีลได้ไหมครับ ?
      ตอบ :  ได้แต่ผลก็น้อย เพราะว่าการที่เราจะฝึกสมาธิโดยที่ไม่มีศีลกำกับเท่ากับว่าเราไม่มีพื้นฐานที่หนักแน่นพอ ศีลจะเป็นพื้นฐานของสมาธิ เพราะจะเริ่มต้นจากการที่เราระวังกาย วาจา ใจ ให้เรียบร้อย พอเราระวังจนชิน ก็อยู่ในลักษณะที่เราสามารถระวังจิตของเรา ให้อยู่กับลมหายใจเข้า-ออกได้
              คราวนี้ศีลก็เลยเป็นเบื้องต้นของสมาธิ ถ้าหากว่าศีลทรงตัว สมาธิจะตั้งมั่นได้ง่าย แล้วถามว่าฝึกโดยที่ไม้ต้องมีศีลได้ไหม ? ก็ได้อยู่ แต่ว่าโอกาสที่จะทรงตัวน้อย ก็เอาอย่างนี้สิ ถ้าอยู่ในลักษณะต้องใช้คำว่า “จำเป็นจริง ๆ ที่จะต้องศีลขาด” ตอนที่เรานั่งฝึกอยู่ศีลไม่ขาดหรอก เชื่อเถอะ เอาเฉพาะตอนนั้น เอาเฉพาะว่า ถ้าหากว่าเรานั่งลงภาวนาตอนนี้ ศีลของเราคือบริสุทธิ์ทุกข้อ จะได้สร้างความมั่นใจให้ตัวเองระดับหนึ่ง
      ถาม :  ..............................
      ตอบ :  ไม่รู้เหมือนกันว่า พระคำข้าวมีกี่พิมพ์ ? แต่อาตมาเป็นเจ้าภาพอยู่หนึ่งพิมพ์ เพราะว่าตอนที่เขาแกะบล็อก เขาจะหาค่าแกะก่อนอย่างไร ? ของเราก็เลยเป็นเจ้าภาพอยู่พิมพ์หนึ่ง
      ถาม :  พระที่เราไหว้ แต่ที่เห็นบางคนเขาต้องปลุกเลยค่ะ ?
      ตอบ :  ลักษณะของการปลุก คือปลุกตัวเราเอง เตรียมกำลังใจของเราให้พร้อม วัตถุมงคลทุกชนิด มีพลังงานอยู่ในตัวอยู่แล้ว เหมือนสถานีส่งเขาส่งคลื่นอยู่ตลอดเวลา เราต้องพร้อมที่จะเปิดสถานีรับอานุภาพถึงจะเกิดเต็มที่ ที่ปลุกกันจริง ๆ ก็คือ เตรียมตัวเองให้พร้อมเพื่อจะรับพลังงานนั้นมาใช้งาน เขาถึงต้องให้อาราธนาทุกวัน ยิ่งเช้าเย็นได้ยิ่งดี เคยมีพวกที่เขาเคยเป็นบรรดามหาโจรมาก่อน สมัยก่อนที่เขาเป็นโจรอยู่ เขาก็เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับการโดนยิง โดนฟัน โดนแทงแล้วไม่เข้า คือโดนแล้วไม่เข้า เหมือนกับคนอื่นที่เขามีประสบการณ์อย่างนี้เหมือนกัน ก็ถามเขาว่า “ลุงทำกำลังใจอย่างไร ?” เขาบอก “โอ้โฮ...ไอ้หนูว่างเมื่อไร ? ต้องภาวนาเมื่อนั้น” เพราะไม่รู้ว่าความตายจะมาถึงเมื่อไร ? ลักษณะนี้เหมือนกับนักปฏิบัติจริง ๆ เลย มิน่าเล่าสมัยก่อนถึงได้เหนียวกันจัง เพราะเขาเตรียมกำลังใจให้พร้อมอยู่ตลอดเวลา
      ถาม :  แล้วที่สอนให้ท่อง “สุนักขัตตัง สุมังคะลัง” ?
      ตอบ :  ไม่ใช่หรอก อานุภาพของวัตถุมงคลเป็นอย่างไร ? ถ้าเราต้องการรู้ก็จะแสดงออกอย่างนั้น ถ้ามาทางด้านมหาอุตม์ อยู่ยงคงกระพัน จะดิ้นตึงตังโครมคาม ออกอาการนักเลงไปเลย ถ้าหากว่ามาทางด้านเมตตามหานิยม ท่าจะออกประเภทอ่อนช้อย นุ่มนวลมากเลย เคยเจออยู่อย่างก็คือ สมเด็จวัดระฆัง เคยลองสมเด็จวัดระฆังดึงลอยทั้งตัวเลย ดึงลอยขึ้นข้างบน ลักษณะนี้บอกว่า อยู่ในลักษณะที่เรียกว่า “ถ้าหากว่าใครมีสมเด็จวัดระฆังอยู่ติดตัว เชื่อว่าในเรื่องของการปฏิบัติท่านช่วยได้ดีมากเลย” เพราะว่าท่านไม่เหมือนเขา ของอันอื่นเราไม่เคยเจออย่างนี้ พวกที่ประเภทออกมาทางด้านเหนียว เขาก็ดิ้นตึงตัง ๆ ออกอาการของเขาไป ทางด้านพวกเมตตามหานิยม เขาก็ออกท่าออกทางอย่างกับรำไทยเลยก็มี นิ่มมากเลย มีแต่ของสมเด็จวัดระฆังนี่แหละ ท่านดึงลอยขึ้นไปเลย ประเภทเอาขึ้นสูงอย่างเดียวแสดงว่าจริง ๆ ที่ท่านทำเอาไว้ ท่านตั้งใจจะให้ช่วยในการปฏิบัติเสียด้วยซ้ำไป
      ถาม :  แล้วอย่างที่พระกริ่งมหาพิชัยสงครามเป็นอย่างนั้น เลยไม่ได้ตั้งอะไรเท่าไหร่ ?
      ตอบ :  ไม่ต้องตั้งจ้ะ ขอให้เปิดใจหน่อยเดียวก็เป็นเรื่องแล้ว เพราะว่าอันนั้นจริง ๆ คือ ทำเอาไว้สำหรับลุยกับเขาโดยเฉพาะ เรื่องของศึกสงคราม หมายถึงความยากลำบากในทุก ๆ ด้าน ในเมื่อเขาพร้อมที่จะรับมือเอาความยากลำบากทุก ๆ ด้าน ก็แปลว่า ต้องสมบูรณ์พร้อมอยู่ในตัวอยู่แล้ว
      ถาม :  ถ้าเราจะสวดคาถา หรืออาราธนาพระเครื่องให้คนอื่นนึกถึง จะนึกถึงอย่างไร ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วต้องให้เขาทำเอง
      ถาม :  ถ้าเกิดว่าเขาไม่ได้ทำครับ ?
      ตอบ :  เราจะไปเปิดเครื่องแทนเขา ก็เครื่องของเขาเสียด้วย จะหาปุ่มตรงไหนวะ...!
      ถาม :  หมายถึงว่า ผมอาราธนาพระ แล้วขอให้คุ้มครองคนโน้นคนนี้ครับ ?
      ตอบ :  อันนั้นก็ทำได้ ถ้ากำลังคุณแน่พอ
      ถาม :  ถ้าอย่างที่หนูทำ อย่างอยู่ระยองอย่างนี้ค่ะ หนูอาราธนาบารมีพระพุทธเรวัตตะ หนูก็อาราธนาให้ท่านคลุมที่บ้าน
      ตอบ :  ได้ อย่างนั้นแหละได้ ถึงได้บอกว่า “ต้องดูที่กำลังของเราด้วย” อันนั้นยิ่งกำลังของพระยิ่งง่ายเลย ตรงไหนก็ได้ แต่ถ้าหากว่าประเภทที่เขาแขวนพระอยู่ เราจะไปอาราธนาให้พระองค์นั้นช่วยเขานี่ ไม่ต้องเลย
      ถาม :  หนูดูทีวี คนเป็นเสือ เสือเป็นคน ?
      ตอบ :  คนเป็นเสือ เสือเป็นคน สมัยโบราณเขาเรียกว่า “เสือเย็น หรือเสือสมิง” เป็นทั้งเสือวิชาการ กับเสือจริง ๆ เสือวิชาการเกี่ยวกับพวกเล่นหัวใจเสือสมิง น้ำมันเสือสมิงพวกนี้สามารถแปลงร่างเป็นเสือได้ชั่วขณะหนึ่ง แต่มีข้อแม้ว่า “ต้องไม่ฆ่าคนตาย ถ้าฆ่าคนตายเมื่อไร ? จะกลับคืนเป็นคนไม่ได้” ส่วนอีกอย่างหนึ่งเป็นเสือจริง ๆ เสือจริง ๆ ถ้าหากว่าฆ่าคนเอาไว้มาก อยู่ในลักษณะผีตายโหงมันสิง ก็จะสามารถบังตาคนให้เห็นเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้ชั่วคราวเหมือนกัน
              หลวงพ่อท่านเคยเล่าให้ฟังว่า “สมัยหนุ่ม ๆ วัยรุ่น ท่านตามครูพรานไปล่าเสือที่ป่าศรีประจันต์ เขาเรียก “ไอ้เก” ไอเกมันเป็นเสือสมิง กินคนมาไม่รู้เท่าไร ? พวกบรรดาพรานที่ไปล่าไอ้เก กลายเป็นเหยื่อไอ้เกหมด หลวงพ่อท่านไปกับครูพราน ครูพรานเขาพาไปซุ่มอยู่ตรงลำน้ำที่ไหลผ่านตรงป่านั่น ไอ้เกจะกระโดดข้ามน้ำตรงนั้นทุกวัน ข้ามไปดูแล้วว่า รอยมันอยู่ตรงนั้นแน่ ก็ไปซุ่มรอมัน เขาใช้ปืนคาบศิลาที่ปลุกเสกแล้ว พอไปถึงก็ใช้วิธีตัดไม้ข่มนาน เอาปืนกระแทกดินแล้วพูดตัดไม้ข่มนามว่า “ธรณียังเข้า ไอ้เกจะเท่าไร?” อย่างนี้ แล้วก็รออยู่ หลวงพ่อท่านบอกว่า “พอโพล้เพล้ประมาณ ๕ โมงเย็น เสียกระโดดน้ำตูม เห็นเสือว่ายน้ำข้ามฝั่งมา แล้วก็เดินเลยไป ครูพรานเขานั่งมองเฉย อีกสักพักหนึ่ง ก็ตูม ว่ายน้ำผ่านไปอีก ครูพรานก็นั่งมองเฉย พอตูมที่สาม ผ่านขึ้นมาถึงตลิ่ง ยืนยังไม่ทันจะตั้งตัวดีเลย ครูพรานยิงตูมหงายท้องหงิกอยู่ตรงนั้นแหละ”
      ถาม :  แล้วสองตัวแรกล่ะคะ ?
      ตอบ :  สองตัวแรกท่านว่าเป็นภาพลวงตา ที่ผีบังให้เห็น ท่านบอกว่า “ถ้าหากว่าใครยิงสองตัวแรก ตัวจริงนั่นน่ะ กระโดดข้ามมาฟัดตายเลย” เพระว่าปืนคาบศิลากระทุ้งได้ทีละนัดเดียว ที่ตายส่วนใหญ่คือตายตอนนี้ หลวงพ่อถามครูพรานว่า “รู้ได้อย่างไร ? ว่าตัวที่สามเป็นตัวจริง” ท่านบอกว่า “ตัวที่สามขึ้นมาปุ๊บ มันสะบัดขน” เสือจริงไม่ชอบให้ตัวเปียกน้ำ พวกเสือ พวกแมว พวกหมา ขึ้นจากน้ำ มันต้องสะบัดขนให้แห้งก่อน สองตัวแรกโดดตูม มันผ่านหน้าแล้วเดินไปเลย
      ถาม :  หนูสงสัยมากเลย ทำไมมีแต่เสือสมิง ?
      ตอบ :  สัตว์อื่นมีนะ มีจริง ๆ มิสเตอร์บูมฮาร์ต ช่วงประมาณ ๓๐ ปี แกเป็นทูตของเนเธอร์แลนด์ มาเมืองไทยไปล่าสัตว์กับคุณชาลี เอี่ยมกระสินธุ์ประจำ ๆ แล้วคุณชาลีเขาไปที่บ้านหนองบัวที่เมืองกาญจน์ แล้วแกไปส่องไฟกับเพื่อนตอนกลางคืน แกส่องไฟเห็นชายคนหนึ่งกำลังถือคบไต้ ไต้ที่จุดติดไฟ แล้วอีกมือหนึ่งถือสุ่ม กำลังสุ่มปลาอยู่ แต่เพื่อนยกปืนขึ้นยิงเขาเลยต้องปัดปืน เปรี้ยงเข้าให้ ไฟก็ดับ แล้วพอส่องหาดูคนก็ไม่มี มีแต่รอยตีนเสืออยู่ เพื่อนยืนยันว่า “เสือ ๆ อย่างน้อย ๆ ต้อง ๘ ศอกแน่นอนเลย” แต่นี่เห็นเป็นคนนะ กำลังสุ่มปลาอยู่ แล้วพอเล่าให้ฟัง คุณบูมฮาร์ตเขาก็บอกว่า “เขาก็เจอมา” แต่เขาประเภทคาตาเลย เพราะว่าเขาเจอหมูป่าตัวใหญ่ที่อินโดนีเซีย แล้วเขาก็ยิงหมูตัวนั้นบาดเจ็บ มันก็หนี เขาก็ตามรอยเลือดไปเรื่อย ตามไป ๆ รอยเลือดไปหมดที่กระท่อม เขาก็ขึ้นไป ปรากฏว่ามีผู้ชายคนหนึ่ง ลักษณะเป็นคนพื้นเมืองอินโดนีเซียนี่แหละ นุ่งโสร่งผืนเดียวมีรอยแผลโดนยิงที่สีข้าง เหมือนกับหมูที่แกยิงเลย กำลังจะตายอยู่แล้ว พอแกตามได้ไม่กี่นาทีมันก็ตาย ก็เลยไม่รู้จะคุยกันอย่างไร ? เพราะว่าที่ตัวเองยิงก็คือ หมูตัวเบ้อเริ่มเลย
              ส่วนอีกรายหนึ่งก็ที่มาเลย์ นั่นก็คือเสือ ส่วนใหญ่ที่เขาต้องการแปลงเป็นเสือ เพราะว่าเป็นสัตว์มีอำนาจ สัตว์อื่นเขาก็เลยไม่ค่อยแปลงกัน อย่างจระเข้ ถ้าหากว่าจระเข้ที่แปลงไปจากคน เขาจะเรียกว่า “หางปลี” คือหางมันสั้น ๆ เหมือนกับหัวปลี ไม่ยาว สมัยก่อนนี้ ถ้าหากว่าทางด้านเหนือ พอคนแปลงเป็นจระเข้ ส่วนใหญ่แล้วต้องรดน้ำมนต์นะ ถึงจะคืนเป็นคนใหม่ แต่พอเห็นเป็นจระเข้คาตา ส่วนใหญ่ลูกศิษย์ก็ตกใจ ทำน้ำมนต์หกเสียทุกทีเลย หนังประเภทซ้ำม้วนอยู่เรื่อยแหละ แล้วพอจระเข้ลงน้ำ เขาจะมาดักกันตรงเขื่อนชัยนาท ถามว่า “แล้วจระเข้ทั้งประเทศ ถ้าเกิดมาอยู่ตรงนั้นจะแยกออกอย่างไร ?” เขาบอกว่า “จระเข้วิชานี่ จะมีหางสั้น ๆ เหมือนอย่างกับหางปลี” หางไม่ยาวเหมือนจระเข้ทั่วไป แล้วโดยสภาพแท้จริงของมันไม่มีหาง
              คราวนี้มาพูดเรื่องเสือใหม่ เรื่องเสือนี่ ถ้าหากว่าเขาบอกว่า “ถ้ายังไม่กินคนเสียก่อน สามารถคืนกลายเป็นคนได้” ถ้ากินคนแล้ว คืนไม่ได้ ช่วงที่ไม่กินคนเสียก่อนถ้าหากว่าอาจารย์รดน้ำมนต์ให้แล้วกลายเป็นคนหรือไม่ก็ให้เอาไม้คานตีมัน ก็จะกลายเป็นคน ลองคิดดูสิว่า “ถ้าเป็นเราเสือตัวเบ้อเริ่มอย่างกับม้า จะถือไม้คานไปตีมันไหมล่ะ ?” ทางด้านเหนือของเรา มีครูบาเสือดำอยู่ แกคงฝึกวิชาน้ำมันเสือสมิงมาจากพม่านี่แหละ ทุกวันนี้พอขึ้น ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ กับแรม ๑ ค่ำ ๓ วัน แกต้องหนีขึ้นป่าไป แล้วบอกคนว่า “อย่าตามไป เพราะแกจะกลายเป็นเสือ” เขาบอกว่า “สติสัมปชัญญะไม่มี เหมือนอย่างกับเสือตัวหนึ่งนั่นแหละ พอเจอสัตว์ก็กินด้วย เลยไม่อยากให้คนเข้าไปใกล้”
      ถาม :  แล้วอย่างนี้ถ้ากลับมาเป็นพระล่ะคะ ?
      ตอบ :  ก็ต้องกลับมานั่งปลงอาบัติ
      ถาม :  แล้วที่กินของสด ๆ ไปล่ะคะ ?
      ตอบ :  อยู่มาจนป่านนี้แล้ว คงไม่ตายหรอก
      ถาม :  ชื่อมีปัญหาไหมคะ ?
      ตอบ :  ตังแต่เกิดมาจนป่านนี้จะ ๕๐ ปี เพิ่งเห็นชื่ออิทธิพลอยู่คนเดียว คือว่าคน ๆ นั้นเขาป่วยหนัก ผอมมีแต่หนังหุ้มกระดูก คือพูดง่าย ๆ ว่าอายุประมาณ ๒๐ แต่น้ำหนักก็คงประมาณ ๒๐ กิโลนั่นแหละ เขาไปหาหลวงปู่ธรรมชัย หลวงปู่ธรรมชัยก่อนหน้านี้ ท่านจะช่วยรักษาโรค หลวงปู่ธรรมชัยทิพจักขุญาณท่านยอดเยี่ยมมากเลย ท่านจะนั่งจับสายสิญจน์อยู่ แล้วพอคนป่วยเข้าไปถึง เอามือแตะสายสิญจน์นี่ หลวงปู่จะบอกได้ว่า “ป่วยเป็นโรคอะไร? เป็นมากี่ปี ? กี่เดือน ? กี่วัน ? แล้วต้องใช้ยาอะไรรักษา ?” ท่านจะบอกได้ เลขาต้องคอยจด ของเราไปซ้อมบ้าง ป่วยกี่ปี ? นี่บอกถูก พอกี่เดือน ? ของเราชักจะเป๋ พอกี่วัน ? พังเลยไม่ถูกหรอก หลวงพ่อท่านบอกว่า “ไม่ต้องไปลองหรอก หลวงปู่ท่านเป็นผู้ชำนาญการโดยตรง” ท่านบอกเรื่องทิพจักขุญาณในยุคนั้นน่ะ หลวงปู่ครูบาธรรมชัยยอดเยี่ยมที่สุด เพราะว่าท่านอธิษฐานมาเป็นหมอ เป็นหมอนี่ถ้าตาทิพย์ไม่ดี รายเละเอียดจะได้ไม่ครบอย่างไร ? ของเราดันไปลองกับพระระดับนั้น
              คราวนี้พอเด็กคนนั้นมาถึง เอามือแตะปุ๊บ หลวงปู่ท่านลืมตา ปกติท่านจะหลับตาพูดไปเรื่อย เลขาก็มีหน้าที่ไล่จด ท่านลืมตาบอกว่า “หนูไม่ต้องรักษาหรอกลูก ไปเปลี่ยนชื่อก็หาย” ถามว่า “ทำไม” ท่านว่า “ชื่อไปซ้ำกับบรรพบุรุษ ไอ้ผีมันตายแล้วมันยังหวงชื่อ ก็เลยแกล้งลูกหลานตัวเอง ผอมกะหร่องเลย” พอเปลี่ยนชื่อก็หาย นั่นแหละเห็นอยู่รายเดียว
              เพราะฉะนั้น...เรื่องชื่อ ไม่ต้องไปสนใจ เรามั่นใจว่าชื่อนี้เราต้องรวยแน่ ๆ เดี๋ยวก็รวยเอง ลบกับลบ เป็นบวกจ้ะ ยิ่งลบเยอะ ๆ ยิ่งดี แล้วสังเกตไหมว่า? แต่ละคนเปลี่ยนชื่อ ไม่มีใครเขาเรียกชื่อใหม่กันหรอก เขาเรียกแต่ชื่อเก่าเหมือนเดิมนั่นแหละ
      ถาม :  เวลาเดินภาวนา ถ้าใช้จับอนุสติด้วย เวลาเดินก้าวเท้าซ้าย แล้วก้าวเท้าขวาเดินไม่ออก รู้สึกว่าขัด ๆ กันอยู่ ?
      ตอบ :  อ๋อ ยังดีที่ขัด ถ้าคุณจับลม ๓ ฐานด้วย คุณจะเดินไม่ได้เลย สมัยก่อนเคยสอนพระรุ่นน้องท่านหนึ่ง ท่านถามว่า “หลวงพี่ทำอย่างไรครับ ภาวนาไปด้วย อ่านหนังสือไปด้วย นับลูกประคำไปด้วย” อาตมาบอกว่า “คุณอยากทำได้ใช่ไหม ?” ท่านอบกว่า “อยากทำได้” บอกเขาว่า “เอาอย่างนี้นะ คุณไปหัดเดินจงกรมก่อน คุณภาวนาจับลม ๓ ฐาน พร้อมกับเดินจงกรมได้เมื่อไร ? แล้วผมจะบอกวิธีต่อให้” เขาไปทำอยู่วันสองวัน เขามาโวยวายว่า “หลวงพี่หลอกผมหรือเปล่า?” ถามว่า “ทำไม?” เขาว่า “ผมภาวนาจับลม ๓ ฐานแล้ว ตีนมันก้าวไม่ออก” บอกว่า “ใช่” เพราะว่าจิตที่เกาะลม ๓ ฐานได้ เป็นเขตของปฐมฌาน พอเริ่มเป็นปฐมฌาน จิตกับประสาทจะเริ่มแยกออกเป็นคนละส่วนกัน
              เพราะฉะนั้น...ถ้าไม่มีความคล่องตัวจริง ๆ จะบังคับร่างกายไม่ได้ ของคุณแค่ขัด ๆ นี่นับว่ายังเก่ง ถ้าหากว่าคุณจับลม ๓ ฐาน จมูก-อก-ท้อง ท้อง-อก-จมูก แค่นั้นแหละ ถ้ารู้ได้ครบเมื่อไรจะเดินไม่ออก ต้องพยายามหัดไปจนกระทั่งเดินได้ จะเป็นฌานใช้งาน คำว่า “ฌานใช้งาน” คือเราสามารถทรงฌานได้ ขณะที่ทำทุกสิ่งทุกอย่างไปพร้อม ๆ ด้วยกันได้ ส่วนที่นั่งภาวนาเฉย ๆ นั่นหลวงพ่อท่านเรียกว่า “ฌานคุด” คือจะเงียบอยู่แค่นั้นแหละ ถึงเวลาจะใช้งานจริง ๆ บางครั้งใช้ไม่ทัน
      ถาม :  การเดินจริง ๆ ก็ไม่ต้องจับลม ๓ ฐาน ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าไม่จับลม ๓ ฐาน อารมณ์ทรงตัวยากเหมือนกัน อย่างคุณเอาประเภทที่ว่า ให้รู้ลมพร้อมกับการเคลื่อนไหวก่อนก็แล้วกัน
      ถาม :  บางครั้งเราจะเริ่ม ลมหายไปเลย ยังไม่ทันได้ภาวนาค่ะ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าสมาธิสูงขึ้น คำภาวนาก็ดี ลมหายใจเข้า-ออกก็ดี เราจะรู้สึกว่าหายไปเฉย ๆ
      ถาม :  ถ้าหากว่านั่งภาวนาแล้วไปคิดเรื่องอื่น ก็หยุด แล้วกลับมาเริ่มใหม่ ถ้าคิดอีก ก็กลับมาเริ่มใหม่ ?
      ตอบ :  จริง ๆ ได้จ้ะ จะเสียอยู่ที่ว่า เวลาเราต้องการความตั้งมั่นของใจจริง ๆ ทำไม่ได้ การแยกจิตทำเรื่องหลาย ๆ เรื่องพร้อมกันได้น่ะดี อย่างที่อธิบายให้ฟังเมื่อครู่ว่า “อ่านหนังสือไป ภาวนาไป นับลูกประคำไปอย่างนี้” แต่ขณะเดียวกันจะไปแย่ทีหลัง เนื่องจากแยกเสียจนชิน พอถึงเวลาเราต้องการความสงบใจภาวนา แต่อีกใจดันฟุ้งซ่าน ฉะนั้นวิธีแก้คือให้ย้อนกลับมาอยู่กับลมหายใจเข้า-ออกจริง ๆ ความรู้สึกทั้งหมดมาสนใจกับลมหายใจเข้า-ออก ก็จะทรงตัวใหม่ ถ้าเราเผลอเมื่อไร ? มันแวบเมื่อนั้น เพราะว่าเราเคยชินกับการแยกเสียแล้ว
      ถาม :  จะให้อยู่แค่คำภาวนายากครับ
      ตอบ :  ต้องลากมันกลับมา มัดไว้กับลมหายใจเข้า-ออก อย่าเผลอหลุด หลุดเมื่อไรไปเมื่อนั้น...!
      ถาม :  .....................
      ตอบ :  ของพวกนี้เป็นของวิเศษธรรมชาติ บางคนเขาใช้คำว่า “วัตถุอาถรรพ์” เมื่อไม่กี่วันก่อน ไปค้นหนังสือเก่า ๆ มาอ่าน พวกมหัศจรรย์มีไข่งูจงอางเป็นแก้ว คนได้มานี่รู้มาก พรานเขาจะเอาของป่ามาส่งประจำ แล้วเขาทำหล่นจากกระเป๋าเสื้อ ไอ้นี่พอเก็บขึ้นมา พอส่องเห็น เอ๊ะ...! ใช่แน่เลย เพราะยังใสจนเห็นตัวอ่อนอยู่ข้างใน เลยถามว่า “ได้มาจากไหน?” เขาบอกว่า “ได้มาจากซากงูจงอางตายอยู่ คาปากอยู่ ไม่รู้เป็นอะไรตาย เห็นสวยดีเลยเก็บมา” บอกเขาว่า “จะขอซื้อได้ไหม ?” บอกว่า “ถ้าขอซื้อคิด ๕๐๐ บาท” มันต่อเขามา ๓๐๐ บาท แล้วลงหนังสือประกาศขาย ๗ ล้าน เราได้ยินราคา ถ้ามันอยู่ใกล้ ๆ ขอเตะเสียทีเถอะวะ เขาเอา ๕๐๐ มันรู้ว่าของราคาขนาดไหน ? มันยังอุตส่าห์ต่อเขาเหลือ ๓๐๐ แต่มันประกาศขาย ๗ ล้าน ใครต้องการชม ต้องวางดร๊าฟล่วงหน้าก่อนด้วย ไม่มี ๗ ล้านวางไว้ ไม่ให้ดู แต่ดูจากรูปที่เขาถ่ายมามันสวยจริง ๆ พวกวัตถุอาถรรพ์คือ ของบางอย่างเป็นของคู่บุญของสัตว์เขา อย่างเพชรตาแมว แก้วตาเสือ หรือไม่ก็พวกบรรดางาช้างดำ หรือเขี้ยวเสือกลวง เขี้ยวหมูตัน ไข่งูเป็นแก้ว ก็คงลักษณะเดียวกัน
      ถาม :  แล้วพญานาคก็มีไข่ ใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  อ๋อ...นาคมณี เพชรพญานาค เกิดจากที่พระธุดงค์รูปหนึ่ง ท่านไปนั่งสมาธิในถ้ำ คราวนี้ก่อนท่านไปธุดงค์ ท่านสร้างโบสถ์ค้างอยู่ ตอนนั่งสมาธิท่านเห็นชายคนหนึ่งมาบอกว่า “จะช่วยเรื่องสร้างโบสถ์ เขาจะมอบของศักดิ์สิทธิ์ให้ ตอนเช้าให้ไปดูที่ลำธารในถ้ำ เพราะว่าในถ้ำมีน้ำลอดออกมา” พอเขาไปดูก็เจอก้อนหินเป็นก้อน ๆ แล้วลองเขย่าดู มันดังก๊อก ๆ อยู่ข้างใน เลยลองทุบดู แล้วก็มีพวกนี้ แล้วลูกศิษย์หลวงปู่สุภา หลวงปู่สุภาก็ร้อยปีแล้ว อยู่ที่วัดที่ภูเก็ต ท่านเอามาถวาย เราเขย่าดู มันดังก๊อก ๆ เลยไล่ทุบกระจายเลย
              แต่แปลกอยู่อย่างหนึ่ง คือแกบอกว่า “ปกติแล้วคนอธิษฐาน ทุบแล้วมันมีสีไหนที่เหมาะกับตัวเอง จะได้สีนั้น” ของเราได้ไม่ซ้ำสีเลย คือจะซ้ำสักเม็ดก็ไม่ซ้ำเลย แปลกดี แต่ว่าลองชั่งดูแล้วมีแปลกอยู่อย่างเดียวคือ น้ำหนักมากผิดปกติ เหมือนอย่างกับว่า ถ้าหากว่าสร้างขึ้นมา ต้องใช้แรงกดดันสูงมาก เพราะอัดมวลสารให้เล็กลงอย่างนี้