สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนเมษายน ๒๕๔๖(ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม:  สมัยหลวงพ่อ ท่านบอกกันแบบตรง ๆ เลย อย่างถามเรื่องเกี่ยวกับครูบาชัยยะวงศา ท่านก็บอกตรง ๆ เลย คืออะไร ? สมัยนี้ไม่มีใครบอก ?
      ตอบ :  คนที่ได้รับหน้าที่นั้นเขาไม่มา ถ้าคนที่ทำหน้าที่อย่างนั้นมา ท่านก็จะทำอย่างนั้น เอาเป็นว่าโยมนั่งถามอยู่นี่ ลองไปถามองค์อื่นดูสิ เขาจะได้ไล่เตะออกมา งานใครงานมัน...! ไปถามเขาเดี๋ยวเขารำคาญ ไล่เตะออกมาแบบเดียวกับพระยามิลินทร์ ถามเสียจนพระเก็บอาสนะหนีเข้าป่าไปเป็นแสนองค์ จนกระทั่งไปเจอกับพระนาคเสนคู่ปรับ พอคนแนะนำบอกว่า “มีพระภิกษุอีกองค์หนึ่ง ชื่อ “นาคเสน” แค่ได้ยินชื่อขนลุกทั้งตัว รู้ว่าเจอดีแน่แล้ว” (หัวเราะ) หน้าที่ใครหน้าที่มัน ใครทำอย่างไร ? ก็ทำอย่างนั้น นี่กำลังรออยู่ว่าภายในอาทิตย์นี้ ไม่เกินวันอังคาร จะรอดูว่างานที่พระท่านจะมอบให้ต่อไปคืออะไร ? ถ้าหากว่างานใหม่ไม่มา จะถลกก้นเข้าป่าแล้วจ้ะ ท่าขนุนก็ไม่อยู่แล้ว เหนื่อยเต็มทีแล้ว
      ถาม :  มีคนเขาบอกว่า “เนื้อคู่จำเป็นต้องมีหน้าตาเหมือนกัน”
      ตอบ :  ไม่จำเป็น เรื่องของเนื้อคู่ มีอยู่สองอย่าง เขาเรียก “บุพเพสันนิวาส” คือเคยเกื้อกูลกันแต่ในปางก่อน อีกอันคือเกื้อกูลกันจนเห็นใจกันในปัจจุบัน ถ้าเป็นบุพเพสันนิวาสเจอกัน หลีกกันไม่พ้น ของเก่าดึงกัน ถ้าเกื้อกูลกันในปัจจุบันก็โอเค ดูอย่างละครพระเอกนางเอก ทะเลาะกันเป็นครึ่งเรื่องกว่าจะแต่งงานกันใช่ไหม ? เริ่มต้นขึ้นมาทะเลาะกันเมื่อไร ? ลงท้ายต้องแต่งกันทุกที อันนี้เกื้อกูลกันในปัจจุบัน คราวนี้ถ้าหากว่าเราต้องการจะหลีกหนี ก็พอจะหนีได้ แต่มีปัญหาอยู่ตรงที่ว่าเราเข้มแข็งพอไหม ? ถ้ามีความเข้มแข็งพอ ต่อให้เป็นบุพเพสันนิวาสก็หนีได้ เพียงแต่ทรมานใจตัวเองอยู่ระยะหนึ่งเหมือนกัน
      ถาม :  พรายน้ำใช่ผีตายโหงหรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่หรอกจ้ะ เป็นอสุรกายประเภทหนึ่ง
      ถาม :  แล้วถ้าเกิดเราใส่พระลงไปว่ายน้ำ ?
      ตอบ :  อธิษฐานให้ท่านคุ้มครองด้วยจ้ะ แล้วก็ลงไปเถอะ รับรองได้ว่าในรัศมี ๑๐๐ เมตรนี่ มันคงไม่อยากอยู่ใกล้หรอก (หัวเราะ)
      ถาม :  ที่ตายซ้ำ ๆ กัน อย่างที่ทางโค้ง ๑๐๐ ศพ กับประเภททะเล เป็นสถานที่ทุกปีต้องมีคนตาย ?
      ตอบ :  ไม่แน่ว่าจะมีใครคอยเอาชีวิตหรอก บางครั้งคนเราประมาทน่ะ สังเกตไหมว่า “โค้ง ๑๐๐ ศพก็ดี ทะเลที่ตายซ้ำแล้วซ้ำอีกก็ดี คือคนนิยมไปกัน ในเมื่อนิยมไปกัน คนจำนวนมากอัตราเสี่ยงก็สูงขึ้น พอเกิดปัญหาซ้ำ ๆ ซ้อน ๆ ขึ้นมาหน่อย อ้าว...! โค้งผีสิงบ้าง โค้งร้อยศพบ้างให้ยุ่งไปหมด บางคราวผีไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลย มองอะไรที่เป็นแง่วิทยาศาสตร์บ้างสิ” (หัวเราะ)
      ถาม :  แต่ว่าส่วนใหญ่แล้ว ก็ประเภทตำนานค่ะ ?
      ตอบ :  ตำนานเกินไป
      ถาม :  เกี่ยวไหมครับว่า “ต้องมีตัวแทนมา ถึงจะไปได้อย่างนี้ ?”
      ตอบ :  มีอยู่ประเภทเดียว จำไม่ได้แล้วบาลีเขาเรียกว่าอะไร ? พวกนี้จะเป็นวิญญาณที่โดนทรมานติดอยู่กับที่ เป็นประเภทหวงที่หวงทางมาก่อน ประเภทที่ล้ำบ้านแม้แต่ก้าวเดียวก็ไม่ได้ หมู หมา กา ไก่ คนอื่นแวะเข้าบ้านมาไล่กระจายเลย อะไรอย่างนั้นแหละ
              พวกนั้นเวลาตายแล้วจะติดอยู่กับที่จนกว่าจะมีคนไปตายตรงนั้นถึงไปได้ มันเองก็ไม่ได้ไปชักนำเขามาหรอก เพียงแต่คนวาระมาถึงตรงจุดนั้นพอดี กรรมเนื่องกันมาเลยทำให้เขาไปตายตรงนั้น เพื่อให้คนนี้ไปแล้วตัวเองก็อยู่ต่อ
      ถาม :  เพื่อนหนูเคยเล่าให้ฟังว่า “จริง ๆ แล้วคนเราเกิดมาในโลกนี้แล้วเกิดในท้อง แล้ววิญญาณ?”
      ตอบ :  คือจิตปฏิสนธิ ขึ้นอยู่กับจังหวะ บางคนก็แรกเริ่มเลย ตั้งแต่เชื้อของพ่อผสมกับไข่ของแม่ จิตก็จับเลย บางรายก็รออยู่ตั้งหลายอาทิตย์ หลายเดือน หรือบางรายจนกระทั่งคลอดมาแล้วค่อยจับก็มี
      ถาม :  อย่างในกรณีของแฟนหนูค่ะ แม่เขาทำหมันแล้ว ก็ยังคลอดออกมา ?
      ตอบ :  อ๋อ นี่ยังดี ไอ้แดงนี่ พ่อก็ทำหมัน แม่ก็ทำหมัน ก็ยังโผล่จะเกิดซะอย่าง...!
      ถาม :  กรณีอย่างนี้ก็ขัดกับหลักของหมอ ?
      ตอบ :  จะขัดตรงไหนล่ะ ? เอาอย่างนี้ สุวรรณสามชาดก พ่อแม่เป็นฤๅษีศีล ๘ ทั้งคู่ แต่คลอดสุวรรณสามออกมา เพราะว่าพระอินทร์เห็นว่า “พ่อแม่ต่อไปตาจะบอด ถ้าหากว่าไม่มีลูกสักคนหนึ่งคอยช่วยเหลือดูแลอยู่ก็จะลำบากมาก เลยลงไปบอกให้ฤๅษีรู้ไว้” แล้วบอกว่า “จะช่วยให้มีลูก” ฤๅษีบอกเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะว่าถือศีล ๘ ทั้งคู่ จะมีลูกได้อย่างไร ?” ก็บอกว่า “โยมจะใช้กำลังของโยมช่วย เพียงแต่ว่าให้เอามือจับหน้าท้องของภรรยาก็พอ” ฤๅษีบอกว่า “เป็นตายก็ไม่จับ” พระอินทร์ก็ประเภทที่ว่า “ฤๅษีไม่จับ พระอินทร์ท่านก็จับซะเอง” แล้วก็ท้องสุวรรณสาม ลักษณะท้องโดยที่พ่อแม่ไม่ได้นอนด้วยกันมีอยู่ เช่น “เหลาจื้อ” ปรมาจารย์ลัทธิเต๋านั่นแหละ ประเภทแม่เป็นสาวพรหมจรรย์อยู่ แล้วแกท้องอัศจรรย์มากเลย ๘๐ ปีเต็ม ๆ แม่ไม่แก่นะ แม่ยังคงสาวพริ้งอายุ ๑๖ เท่าเดิม ท้องอยู่อย่างนั้นแหละ แล้วไม่มีความลำบากอะไรเลย ปกติที่อื่นจะร้อน ที่อื่นจะหนาว หิมะตก หรือว่าหน้าร้อน ฝนตก แดดออก ใบไม้ผลิ ที่บ้านของแกจะเย็นสบายตลอดทั้งปี ต้องใช้คำว่า “ต้นไม้ดอกไม้บานสะพรั่งอยู่ทั้งปี” ถึงปีที่ ๘๐ ก็คลอด นึกอยากไปเดินเล่นในสวน เห็นดอกไม้สวยเลยเอื้อมมือจะหยิบดอกไม้ รู้สึกว่าใต้รักแร้ลงมาถึงหน้าท้องขาดแควกลงมาแล้ว เด็กก็หล่นผลัวะลงมา กลายเป็นตาแก่อายุ ๘๐ หนวดขาวโพลน เขาคือ “เหลาจื้อ แปลว่าตาเฒ่า” คือคนที่จะเกิดมาเพื่อที่จะทำอะไร ลักษณะเป็นผู้นำคนส่วนใหญ่ จะมีเหตุอัศจรรย์ อย่างนั้นคนเขาก็เชื่อถือตั้งแต่คราวแรกแล้ว คนอะไรอยู่ในท้องแม่ตั้ง ๘๐ ปีอย่างนี้ อย่างพระสีวลีก็อยู่ในท้องแม่ ๗ ปีกับ ๗ วันใช่ไหม ? ธรรมดาอยู่ไหวไหมล่ะ ? เรื่องของกรรมบันดาล หรือบุญบันดาลพูดยาก พระพุทธเจ้าท่านถึงได้บอกว่า “กรรมวิบาก” การส่งผลของกรรม ไม่ว่าจะดีจะชั่วไม่พึงคิด ผู้ใดคิดพึงมีส่วนของความเป็นบ้า
      ถาม :  คนที่ต้องเกิดมา ต้องมีจาคะเสมอกัน ?
      ตอบ :  ไม่แน่ คืออย่างน้อย ๆ ต้องมีกรรมในอดีตเนื่องกันมา จะกรรมดีกรรมชั่วอะไรก็ตาม
      ถาม :  แล้วคนที่จะเป็นสามีภรรยากันได้ จะต้องมีศีลเสมอกันหรือคะ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่ ท่านใช้คำว่า “ถ้าหากว่าคู่สามีภรรยาจะครองคู่กันด้วยความสุข จะต้องมีทานเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน” คืออะไร ๆ จะได้เออตามกัน ไม่ใช่คนหนึ่งเริ่ม คนหนึ่งก็ขัดซะ
      ถาม :  นางวิสาขา เขาบอกว่า “ไม่แก่ จริงหรือเปล่าครับ ?”
      ตอบ :  ไม่แก่จริงไหม ? พระเจ้าปเสนทิโกศลพิสูจน์มาแล้ว เรื่องของบุญรักษา ทำไมถึงไม่แก่ ? ปัจจุบันนี้ก็มีนะ เจออยู่ ๒ ราย ลูกโตขนาดนี้แล้ว แต่แม่ยังสาวพริ้งอยู่เลย สมัยนี้เราอาจว่าเป็นเรื่องของเทคโนโลยีสวยด้วยหมอใช่ไหม ? (หัวเราะ) แต่ว่าไม่ใช่ เพราะรู้ว่าพี่เขาไม่ได้มีนิสัยอย่างนี้ ท่านเข้าหาหลวงพ่อตั้งแต่สมัยโน้น เจออยู่ ๒ ราย แก่ไม่เป็นแปลกดี ลูก ๆ โตเป็นหนุ่มเป็นสาวหมดแล้ว ไป ๆ มา เดี๋ยวคอยดูเถอะ เดี๋ยวลูกแก่ แม่ก็กลายเป็นน้องไป
      ถาม :  .......................
      ตอบ :  เรื่องของมาร ถ้าสำหรับสาวกทั่ว ๆ ไป ก็แค่พอหอมปากหอมคอ แต่คนปรารถนาพุทธภูมิตั้งใจเป็นพระพุทธเจ้า กำลังใจเข้มแข็งมาก เขาจะทดสอบมากกว่าปกติ ก็อย่างที่ท่านบอกว่า “จะมีโอกาสได้เจอมากกว่า”
      ถาม :  อย่างหนูปกติธรรมดาจิตไวค่ะ เดี๋ยวปรามาสพระ คือจะทำอย่างไรคะ ?
      ตอบ :  ขอขมาพระรัตนตรัยบ่อย ๆ ให้ตั้งใจว่า “เราปรามาสพระรัตนตรัยนั้น จริง ๆ ไม่ใช่ความตั้งใจของเรา ถ้าเราเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ สิ่งที่เราเห็นว่าน่าเกลียดน่าชังอย่างนี้ เราไม่ทำแน่นอน แต่เนื่องจากเป็นเรื่องของกิเลสมาร ตัณหา อุปาทานก็ดี ชักนำให้เราทำสิ่งนั้น แม้จะทำไปโดยไม่เจตนาอย่างเต็มที่ก็ตาม แต่เราก็เต็มใจตั้งใจที่จะขอขมา”
              เจ้าพวกนี้กลัวคนรู้ทัน แล้วกลัวคนหน้าด้าน ถ้าเรารู้ทันว่า “เป็นมันทำอย่างนั้น เรารู้ทันแล้วตั้งใจขอขมา ตื๊อมันไปเรื่อย ๆ มันลุ้นเราไม่ขึ้นหรอก เดี๋ยวมันก็ถอยไป”
      ถาม :  ตอนแรกก็โทษตัวเองมากเลยว่า “ความคิดเราแย่ แล้วคิดโน่นคิดนี่ไวมากเลย”
      ตอบ :  ตั้งหน้าตั้งตาขอขมาพระบ่อย ๆ
      ถาม :  แล้วจะเป็นกรรมไหมคะ ?
      ตอบ :  นั่นน่ะตัวเริ่มชั่วแล้วล่ะ เพราะว่าคิดได้ เดี๋ยวก็พูดได้ เดี๋ยวก็ทำได้
      ถาม :  พระ ถ้าไม่ได้เป็นสายเดียวกันนี่อย่างไรครับ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าพระที่ท่านรู้จักพระจริง ๆ ถึงวาระถึงเวลาไม่ต้องเสียเวลา ไม่เห็นตัวยังรู้จักกันเลย มีขำ ๆ อยู่เที่ยวหนึ่ง หลวงพ่อท่านมาตอนเช้า เฮ้ย! ช่วยกันสืบดูหน่อย ถามว่าเรื่องอะไรครับ ? ท่านบอกว่าหาพระรูปหนึ่งชื่อหลวงตาจวน ท้วม ๆ ขาว ๆ อยู่สิงห์บุรี คราวนี้ก็วิ่งหากันสิ แต่ว่าท่านหาไม่ยากเพราะท่านมีชื่อเสียง เพียงแต่เราไม่ได้อยู่ในวงการก็เลยไม่รู้จักท่าน ปรากฏว่าเป็นหลวงพ่อจวน วัดหนองสุ่ม ก็เอารูปไปให้หลวงพ่อดู ท่านก็บอกว่า เออ! ใช่ ๆ รูปนี้แหละ ถามว่าหลวงพ่อหาทำไมครับ ? วันก่อนข้าขึ้นไปเจอแกเดินเทิ่ง ๆ อยู่จุฬามณีไปทั้งตัวเลย ไม่ได้ถอดกายทิพย์ไปหรอก ไปตัวอย่างนี้เลย ยังดีว่าท่านมารณภาพแล้วถึงได้กล้าเล่าให้ฟัง ไม่อย่างนั้นคนไปกวนตายชัก
      ถาม :  เคยได้ยิน ตุ๊เจ้าเสือดาวไหมครับ เป็นอย่างไรครับ ?
      ตอบ :  รู้จักดีเลยแหละ อันนั้นท่านเป็นโยคีก็ว่าได้ จริง ๆ ก็คือพระนั่นแหละ แต่ว่าท่านเองท่านไว้หนวดไว้เคราไม่โกน ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ โดยเฉพาะธุดงควัตร ๑๓ ประการนี่ท่านทำครบนะ ธุดงควัตร ๑๓ อย่าง อย่างอื่นทำครบเราไม่ว่าหรอก แต่เนสัชชิกังคะ นี่ทำยากทำเย็น นั่งอย่างเดียวโดยไม่นอน ท่านทำติดต่อมา ๓ ปีเต็ม ๆ คือถ้าจะหลับก็ต้องพิงหลับนั่นแหละ พวกเราพอได้ข่าวก็ เออ! มันแปลกมาก ก็เลยเอารูปไปให้หลวงพ่อดู บอกหลวงพ่อครับ รูปนี้เป็นพระดีหรือเปล่าครับ ? หลวงพ่อบอกว่า พระดีจะไม่ฝืนพระธรรมวินัยจำไว้ พวกเราพอได้ยินก็โอเค จบกันเลย เพราะว่าท่านไว้หนวด ไว้เครา ไว้ผมเสียยาวลากดินอะไรอย่างนั้นแหละ พระนี่พระพุทธเจ้าท่านระบุชัดแล้ว ต้องปลงผม โกนหนวด ตัดเล็บ เป็นปกติอยู่แล้ว จำไว้นะ พระดีเขาไม่ฝืนธรรมวินัย ของเราเองตอนนั้นไปเห็นขลัง พอเห็นขลังก็ถาม ตอนนั้นท่านแสง น้องชาย ถึงขนาดบุกไปถึงถ้ำ ไปขอเหรียญ ขออะไรกันมา เหรียญเขาก็ทำเป็นเหมือนกับฤๅษีเกล้ามวยผม ไว้หนวด ไว้เครายาวเฟื้อย
      ถาม :  เคยไปดูอยู่พักหนึ่ง เห็นมีพระไปกราบหลายรูป
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วท่านเป็นพระ
      ถาม :  ตอนนั้นไม่ได้บวชครับ ท่านจะมีช่วงบวช ช่วงสึก ช่วงบวช แต่ตอนนี้ได้ยินว่าบวช ใช้ชื่อว่า ครูบาอะไรสักอย่างหนึ่ง ?
      ตอบครูบาราศรี
      ถาม :  อ๋อ! ครับ ช่วงนั้นจะถูกเรียกว่า ตุ๊เจ้าเสือดาว
      ตอบ :  เพราะว่ามีช่วงหนึ่งนุ่มห่มแบบโยคี มันลาย ๆ เป็นลายเสือ เขาเลยเรียก เสือดาว ๆ จริง ๆ ท่านชื่อ ราศรี
      ถาม :  ช่วงนั้นที่ผมไป ท่านดูแปลก เพราะเห็นท่านจัดโต๊ะหมู่บูชา เอาพระพุทธรูปขนาดค่อนข้างใหญ่วางกับพื้น แล้วท่านก็จัดเก้าอี้ท่านวางข้าง ๆ ผมดูแล้วก็ อ้าวอย่างนี้ผิด
      ตอบ :  อันนั้นของโยมเห็นกับตา แต่อาตมาแค่เอารูปให้หลวงพ่อดูปั๊บ หลวงพ่อท่านบอกเลยว่า พระดีเขาไม่ฝืนพระธรรมวินัย พอได้ยินก็อ๋อ! เลย
      ถาม :  แล้วหลวงปู่ครูบาพรหมจักรวัดพระพุทธบาทตากผ้า เคยอ่านเจอ หลวงพ่อพูดในทำนองว่า ท่านเล่าว่าท่านเคยเจอหลวงพ่อปานด้วย ทราบรายละเอียดมากกว่านี้ไหมครับ ?
      ตอบ :  อันนี้ไม่ได้ทราบหรอก แต่ว่าครั้งแรกที่หลวงพ่อได้รับคำแนะนำจากโยมว่า ท่านเป็นพระดีน่าจะไปกราบไหว้ทำบุญ หลวงพ่อท่านก็ เออ! อย่างนั้นเราก็ไปกัน โยมเขาก็ยังบอกสรรพคุณของท่านอีกว่า ท่านไม่ค่อยจะพูด ถ้าไม่มีเรื่องจำเป็นจริง ๆ ไม่พูดกับใคร หลวงพ่อท่านบอกว่า เฮ้ย! ไม่เป็นไร ถ้าไม่พูดเอาไม้ทิ่มปากเสียเดี๋ยวก็พูดเอง ท่านก็เล่าให้ฟัง พอไปถึงปรากฏว่าหลวงพ่อครูบา นุ่งห่มดองผ้าสังฆาฏิเรียบร้อยตามสไตล์ท่าน โอ้โห! ท่านห่มผ้าเนี้ยบจริง ๆ ท่านเองท่านต้องจับแล้วจับอีกตามลักษณะของคนประเภทจิตละเอียด อะไรนิดอะไรหน่อยก็ไม่ได้ เสร็จแล้วท่านก็ออกมา ก็มาต้อนรับกราบไหว้ปฏิสันถารกันอย่างดี ลูกศิษย์ท่านก็ทนไม่ไหว หลวงพ่อครับ ปกติหลวงพ่อไม่ได้พูดอย่างนี้นี่ครับ หลวงพ่อครูบาบอกว่า ถ้าขืนไม่พูดดูสิ เดี๋ยวเขาก็เอาไม้ทิ่มปากฉันเข้าให้ คุยไม่ถึงครึ่งทางเลย ไปวัดโน่นรู้เรื่องนานแล้ว ลองดูสิ ถ้าไม่พูดเดี๋ยวเขาเอาไม้ทิ่มปากฉันเข้า
      ถาม :  ครั้งแรกเจอท่าน ปี ๐๔ ตอนนั้นหลวงพ่อท่านบอกว่า ท่านเองยังเหมือนเปิด แล้วท่านก็พูดว่า เราอยากรู้ว่าท่านถึงไหน ท่านปิดปั๊บเลยไม่ให้ดู ?
      ตอบ :  รูปนั้น จริง ๆ เป็นครูบาอาจารย์ของพระสายเหนือ เยอะมาก คล้าย ๆ กับว่าสมัยนั้นท่านเป็นที่พึ่ง หลวงปู่ครูบาชัยวงศ์นี่แหละท่านบวชให้ ลองคิดดูว่าขนาดหลวงปู่ครูบาชัยวงศ์ท่านบวชเณรให้ ตอนนั้นท่านอาวุโสขนาดไหน แล้วเป็นที่อัศจรรย์ว่าครอบครัวของท่านทั้งหมดไปนิพพานกัน ทางลื่นเลย ตัวท่านเองครูบาพ่อคือ ครูบาเป็ง หลวงพ่ออินทจักร หลวงพ่อวัดน้ำบ่อหลวง อย่างนี้ก็เรียกว่า ครอบครัวพระอรหันต์
              ถ้าดูอย่างในพุทธกาลก็มีครอบครัวของพระสารีบุตร พระสารีบุตรมีพี่น้อง ๗ คน เป็นพระอรหันต์หมด มีพระเรวตะ เล็กสุดอายุ ๗ ขวบ ของท่านลูก ๆ บวชหมด พ่อแม่เลยมาบวชด้วย ครูบาพ่อถึงจะมาช้าก็จริง แต่ลูก ๓ รูป ขยันกันต้อนพักเดียวเท่านั้น
              สมัยก่อนนี้ทางเหนือนี่ฉายาพระเขาจะเปลี่ยนเป็นภาษาไทย อย่างของหลวงปู่ครูบาพรหมจักร ยาท่านก็คือ พรหมจักโก เป็นภาษาไทยก็คือ พรหมจักร อย่างหลวงปู่ครูบาศรีวิชัย จริง ๆ ก็คือ สิริวิชโย หลวงปู่ครูบาศรีวิชัย จริง ๆ ท่านชื่อ ฟ้าร้อง แบบเดียวกับหลวงปู่ครูบาธรรมชัย ฉายา ธมฺมชโย แต่จริง ๆ หลวงปู่ครูบาธรรมชัย ชื่อ กองแก้ว ชื่อจริงไม่รู้หรอก เขาเรียกฉายา จนกระทั่งกลายเป็นชื่อจริงไปหมด
              นึกถึงยุคนั้นแล้ว โอ้โห! บ้านเมืองถึงได้ร่มเย็นกว่าสมัยนี้เยอะ เพราะว่าครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นพระสุปฏิปันโนมีเยอะเหลือเกิน รุ่นที่หลวงพ่อท่านนิมนต์มาเพื่อช่วยสร้างโบสถ์วัดท่าซุงนั้น มาที ๑๐ กว่ารูป หลวงปู่บุดดาท่านก็มองแล้วยิ้ม มีแต่มหาวีระเท่านั้นแหละที่ทำได้ เจ้าพระยามหากษัตริย์ยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ทำไม่ได้หรอก ลองพระระดับนี้มา หลวงปู่ท่านก็นั่งยิ้ม ท่านก็ว่าของท่านไปเรื่อยแหละ แต่ว่าเราไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย
              พอในหลวงจะเสด็จวัดท่าซุง หลวงปู่บุดดา ครองผ้าไปก็พูดไปว่า เออ! วันนี้รัชกาลที่ ๑ กับรัชกาลที่ ๙ เขาจะเจอกันหนอ เราจะไปรู้เรื่องอะไร ท่านก็ว่าของท่านไปเรื่อย กว่าจะรู้เรื่องก็ต้องรอหลวงพ่อมาเทศน์ประวัติศาสตร์ฉบับพิเศษของท่านนั่นแหละ ถ้าท่านไม่เล่าให้ฟังเราก็ไม่รู้เรื่องเลย หลวงปู่คำแสน วัดสวนดอก ใครก็รู้ว่ารอยยิ้มพระอรหันต์ ยิ้มทีโยมร้องไห้โฮเลย ทำไมหลวงปู่ยิ้มสวยขนาดนี้ ท่านบอกว่าอย่างไรรู้ไหม ถ้าใครหมดกิเลสยิ้มสวยทุกคน
      ถาม :  บางคนเชื่อว่ารัชกาลที่ ๔ คือ หลวงปู่ปาน ?
      ตอบ :  ได้ยินหลายคนว่าอย่างนั้น แต่พวกประวัติฉบับทิพจักขุญาณหรือเขาเล่าว่านี่ ถ้าไม่ใช่หลวงพ่อเล่า อาตมาไม่ยืนยัน
      ถาม :  หลวงพ่อไม่เคยพูดถึงหรือครับ ?
      ตอบ :  ไม่ได้พูดถึง ถ้าพูดถึงก็แปลว่าไม่ได้ยินเอง อย่างน้อย ๆ ให้ได้ยินได้ฟังด้วยตัวเองจะยืนยันให้ ถ้าไม่ได้ยินไม่ได้ฟังด้วยตัวเอง รู้ด้วยวิธีอื่นนี่เก็บเอาไว้เป็นที่เข้าใจว่ายังเผยแพร่ไม่ได้หรอก ของเราไม่รู้จริงแบบนั้นเดี๋ยวพลาด หลวงพ่อท่านต้มพวกเราเปื่อยมาหลายยกแล้ว
              ตอนนั้นหลวงปู่ดู่มรณภาพ พอดีลงโบสถ์ปาติโมกข์กัน ตอนหลวงปู่ดู่อยู่ พระที่วัดท่าซุงไปกันบ่อย รูปโน้นบ้างรูปนี้บ้าง เราก็ไปเห็นท่านหมอบกระแตอยู่หน้าประตู เหมือนอย่างกับพระนั่งขัดสมาธิ หน้าทิ่มพื้นหลับอยู่ เข้าไปถึงก็ไปเขย่า หลวงปู่ครับ ๆ ถ้าไม่ไหวก็นิมนต์นอนเถอะครับ ท่านว่าปล่อยให้มันตายคาที่อยู่นั่นแหละ ตอนหนุ่ม ๆ ผมอยากดังดีนัก ตอนนี้ดังแล้วนี่ เอามันเสียให้เข็ด ท่านก็ว่าไปตรง ๆ สมัยหนุ่ม ๆ อยากดัง ถามว่าแล้วทำไมหลวงปู่มาหลับกองตรงนี้ล่ะครับ อือ! มันมาถึงตีสองกว่า มาทุบประตูเรียก รถทัวร์จะไปที่อื่นต่อ รู้ว่ามาตรงนี้แล้วมาหาหลวงปู่ต้องเจอให้ได้ ทุบประตูเรียกท่านออกมา ของเราไปถึงหลังอาหารเช้าก็คงประเภทที่ว่า พอโยมกลับหมดท่านก็ฟุบไปตรงนั้นหลับต่อไปเลย เราก็จะไปกราบไปทำบุญ ไปศึกษาจริยวัตรของท่าน ติดใจ ชอบใจไปกันบ่อย
              หลวงพ่อพอเข้าโบสถ์ ก็เออ! วันนี้มีพระตายนี่หว่าชื่อหลวงตาดู่ อยู่วัดสะแก ปฏิบัติธรรมมาตลอดชีวิต กระทั่งเทวดายังเป็นไม่ได้เลย เราพอได้ยินก็เลยฝ่อไปเลย ขนาดเทวดายังเป็นไม่ได้ แล้วหลวงพ่อก็หยุดเป่ายานัตถุ์ เสร็จแล้วก็ว่าต่อ ตายแล้วเสือกไปนิพพานเสียฉิบ นั่นแหละท่านต้มพวกเราเปื่อย ตอนได้ยิน หัวใจไปหล่นอยู่ที่ตาตุ่ม ปฏิบัติธรรมมาทั้งชีวิต ตายแล้วเทวดายังเป็นไม่ได้ ดันไปนิพพาน อยู่กับหลวงพ่อถ้ารับลูกไม่ทันนี่หงายท้องทุกที
              พระหลายรูปได้รับการสงเคราะห์จากครูบาอาจารย์รุ่นเก่า ๆ ที่เรียกว่าชื่อเสียงเป็นอมตะ อย่างหลวงปู่ดู่ ท่านก็ได้รับการสงเคราะห์จากหลวงปู่ทวด วัดช้างให้ ท่านก็สร้างรูปหลวงปู่ทวดไว้บูชา คนก็ไปลือว่าท่านเป็นหลวงปู่ทวดกลับชาติมาเกิด จะอยู่ในลักษณะอย่างนี้แหละ ที่คนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้ เพราะส่วนใหญ่ก็เหมาเอาเอง ไม่ได้ไปสอบถามท่านว่าเป็นเพราะอะไร
              อย่างปัจจุบันนี้ ครูบาเทือง วัดบ้านเด่น ใคร ๆ ก็ลือว่าท่านเป็นหลวงปู่ครูบาศรีวิชัยมาเกิด เพราะหน้าตามีเค้าหลวงปู่ครูบาศรีวิชัย เราต้องดูว่าหลวงปู่ครูบาศรีวิชัยก่อนที่จะมรณภาพ กว่าจะได้ถ่ายรูปนี่อายุมากแล้ว และคนรุ่นหลังเพิ่งจะเกิดไม่นาน หน้าตาคล้ายท่านนี่ก็ไม่น่าจะเป็นใช่ไหม แต่คนเขาเชื่ออย่างนั้นเสียแล้ว ก็ดีไปอย่างหนึ่ง เพราะว่าท่านเองท่านก็ตั้งใจจะช่วยคนจริง ๆ คนไปทำบุญได้ปัจจัยเท่าไร สร้างตะบันราดเลย ไปวัดครูบาเทืองเห็นแล้วจะขำ ใครนิมนต์ครูบารับทั้งนั้น แต่ไม่ไป ใครของเงินครูบาให้ทั้งนั้นแต่ไม่จ่าย คนที่ไปก็จะคอยแต่ไปกวนท่าน
              อย่างสมัยหลวงพ่อก็มี ไปถึงขอเงินเท่านั้นเท่านี้ จะสร้างนั่นสร้างนี่หลวงพ่อท่านให้เฉพาะรายที่ท่านเห็นว่าเราทำได้จริงเท่านั้น แล้วหลวงพ่อท่านรู้จริงเท่านั้น เถียงไม่ได้
              อย่างรายที่อาจารย์เกษม วัดขุยโพธิ์ สุพรรณบุรีไปขอเหล็ก หลวงพ่อสั่งให้ทีหนึ่ง ๓๐๐ ตันเลยล่ะ ไปส่งที่วัดเขาแล้วเก็บเงินที่ฉัน ท่านเห็นว่านั่นทำจริง ท่านให้ช่วงนั้น หลวงพ่อท่านอุปการะอุปถัมภ์วัดต่าง ๆ ที่ขอให้ช่วยทำโน่นทำนี่ ทำอะไรอยู่ ๔๐ กว่าวัด ไม่ได้ทำให้แต่วัดท่าซุง
      ถาม :  วัตถุมงคลของหลวงปู่ดู่ ตอนนี้ท่านดังมาก ?
      ตอบ :  ท่านดังตั้งแต่สมัยโน้นอยู่แล้ว ของอาตมาเองโดนคนเขาไถไปหมดเกลี้ยง จำไม่ได้แล้ว แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก เพราะว่าหลวงพี่สุทินยังอยู่ไปเมื่อไร ก็ไถได้เมื่อนั้น หลวงพี่สุทินบวชอยู่กับหลวงปู่ดู่เป็น ๑๐ ปี