ถาม:  เขาล่ำลือว่ามีเสียงของหลวงปู่ดู่ที่ช่วยในการทำกรรมฐานได้ดีมาก และช่วยให้ทำจิตนิ่ง ?
      ตอบ :  เรื่องของพระ ถ้าหากว่าเป็นพระในลักษณะของหลวงปู่รูปไหนก็ได้ คือถ้าได้อย่างหลวงปู่ดู่ เอาวัตถุมงคลของท่านมานี่ช่วยได้เยอะ เพราะว่ากำลังใจที่ท่านส่งออกนี่มันเย็นเป็นปกติอยู่แล้ว ช่วยให้จิตใจของเราที่เร่าร้อนในช่วงนั้นสงบได้ง่าย เจอมาหลายรูปแล้ว จนกระทั่งหลวงปู่บุดดา ของอะไรใช้ได้ทั้งนั้น ขอให้ได้เป็นพระระดับนั้น เท่านั้นแหละ
      ถาม :  ..............................
      ตอบพระพุทธฉาย เงาพระพุทธเจ้าที่สระบุรี ที่สระบุรีจะรอยพระพุทธบาทที่เรารู้จักกันแล้ว ที่พระพุทธฉายมีพระพุทธบาทอีกรอยหนึ่ง รอยที่พระพุทธฉายนี่จริง ๆ แล้วเขาค้นพบมารุ่นเดียวกันนั่นแหละ แต่ว่าเขาเอาทรายกลบ แล้วก็หล่อเป็นปูนครอบทับไว้ข้างบน เหมือนกับที่พระพุทธบาทปัจจุบันนี่ก็ไม่ใช่รอยจริง รอยจริงอยู่ข้างล่าง
              คราวนี้ว่ารอยพระพุทธฉายนั้นขึ้นไปยากเพราะอยู่บนยอดเขา คนก็เลยลืมไปเรื่อย จนกระทั่งจมหายอยู่ในป่าในตง แล้วมาค้นพบใหม่ปี ๒๕๓๗ คนขึ้นไปเห็นรูปพระพุทธบาทจำลองอยู่ ก็เลยทุบออกเพื่อจะบูรณะใหม่ พอทุบออกไปเจอทรายข้างล่าง กวาดทรายออกก็เจอรอยจริง ได้เรื่องนี้พม่าเขาจะตำนานเกี่ยวกับรอยพระพุทธบาทที่มินบูของเขา ที่มินบูของพม่าจะมีงานช่วงกลางเดือน ๓ ทุกปี รอยพระพุทธบาทจะอยู่ที่เชิงเขารอยหนึ่ง แล้วก็ยอดเขารอยหนึ่ง แต่ว่ายอดเขากับเชิงเขามันอยู่ในลักษณะตั้งฉาก ถ้าเป็นปกติของคนคงจะไม่ก้าวลักษณะอย่างนี้ใช่ไหม
              แต่ที่รอยพระพุทธบาทกับพระพุทธฉายนี่ อยู่คนละอำเภอกันแต่เหมือนกับตรงนี้ แล้วก็เหยียบไปอีกทีหนึ่ง ทางพม่าเขาพยายามว่าตามตำนานรอยพระพุทธเจ้า เขาจะเหมาเอาว่า ๒ รอยที่ว่านี้เป็นของเขา แต่ว่าเราเข้าไปดูใกล้ ๆ แล้วเป็นแอ่งกลม ๆ อย่างกับรอยเท้าช้างมากกว่า แต่เขาก็ถือว่าเป็นรอยพระพุทธบาท แต่ถ้าหากว่ากันจริง ๆ เชื่อว่า ๒ รอยนี้น่าจะเป็นของจริงมากกว่า
      ถาม :  ที่เขาพระงามที่พี่ไก่ไปเจอ นั่นใช่หรือเปล่า ?
      ตอบ :  เรื่องใช่ ไม่ใช่ ไม่ต้องคิด ถ้าเป็นอนุสติระลึกถึงพระพุทธเจ้าได้ ใช้ได้ทั้งนั้น
      ถาม :  พระเจ้ากวนอู ประวัติเป็นอย่างไรครับ ?
      ตอบกวนอู ก็สามพี่น้องร่วมสาบานในสวนท้อ กวนอู เตียวหุย เล่าปี่ สามพี่น้องสมัยนั้นแผ่นดินแตกแยกออกเป็นหลายก๊กหลายเหล่า และก็เกิดกลุ่มโจรโพกผ้าเหลือง เขาเกิดขึ้นมาเพราะว่าหัวหน้าเป็นนักพรตที่ชำนาญเรื่องอภิญญาสมาบัติ ก็เขียนยันต์เสกผ้าให้คาดหัวแล้วหนังเหนียวก็เลยอาละวาดกันใหญ่โต แผ่นดินเดือดร้อนไปหมดตอนนั้น
              เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย เขาบังเอิญไปเจอกันเข้า ก็เลยมีความเห็นร่วมกันว่า แผ่นดินเดือดร้อนควรจะสละตัวเองเพื่อรับใช้ชาติ ก็เลยสาบานเป็นพี่น้องกัน จริง ๆ แล้วกวนอู เขาเป็นนักโทษฆ่าคนตาย หนีมาเพราะเศรษฐีหน้าเลือดขูดรีดชาวบ้านมาก ๆ แกก็เลยเด็ดหัวเขาแล้วก็เผ่น มาเจอเตียวหุยที่เป็นพ่อค้าหมู ส่วนเล่าปี่เป็นเชื้อพระวงศ์เร่ร่อนอยู่ ถือว่าเป็นเชื้อสายของหลิวปัง ปฐมจักรพรรดิของราชวงศ์ฮั่น เป็นเชื้อสายมา ในเมื่อมีเล่าปี่เขาถือเป็นเชื้อสายอยู่ ก็เชิดขึ้นมา เป็นลักษณะผู้นำก็เลยสร้างเกียรติประวัติเลื่องลือขึ้นมา พอได้ขงเบ้งมาเป็นกุนซือ แบ่งแผ่นดินได้ออกมาประมาณ ๑ ใน ๓ สามก๊ก
              กวนอูเขาถือว่าเป็นเทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์ เนื่องจากว่าโจโฉได้ตัวไป พยายามเกลี้ยกล่อมไม่วาจะด้วย ลาภ ยศ เงิน ทอง อะไรก็แล้วแต่ กวนอูเขาไม่เอาอะไรด้วยทั้งนั้น เขาขอพรเอาไว้อย่างชนิดที่เรียกว่า ถ้ารู้ว่าเล่าปี่อยู่ที่ไหน จะไปหาโดยไม่ต้องบอกลาพอได้ข่าวว่าเล่าปี่ไปอยู่ที่เมืองเกงจิ๋วจะไปหา โจโฉก็แกล้งทำเป็นป่วย ไม่ยอมให้บอกลาเสียที แกก็เลยลุยไปเอง ลุยไปเองไม่มีหนังสือผ่าน พวกบรรดานายด่านต่าง ๆ ก็ไม่ให้ไป ก็รบกัน กวนอูก็เลยเด็ดหัวนายด่านไปสัก ๗ ด่านได้มั้ง โจโฉเห็นท่าว่าเอาไม่อยู่แน่ ลูกน้องตายฟรีถึงได้ยอมให้ธงอาญาสิทธิ์มา บอกให้เปิดด่านได้ เขาก็เลยนับถือกวนอูว่าเป็นเทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์
              เพราะว่าตอนนั้นจริง ๆ แล้วโจโฉเขาอยู่กับพระเจ้าเฮี่ยนเต้ ที่นับถือว่าเป็นฮ่องเต้ที่ถูกต้องตามกฎหมาย พูดง่าย ๆ ตัวเองเป็นมหาเสนาบดี อำนาจล้นฟ้า ถ้าหากว่าปักใจไปอยู่ด้วยแล้ว ฝีมือระดับกวนอูนี่คือต้องการอะไรก็ได้อย่างนั้นอยู่แล้ว แต่ว่ายอมมาติดตามเล่าปี่นี่ถือว่าเป็นคนตัวเปล่า เพราะว่าสาบานเป็นพี่น้องกัน มีสุขร่วมเสพ มีภัยร่วมต้าน ในลักษณะนั้นก็ถึงได้ถือว่าท่านเป็น เทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา
      ถาม :  ทำไมคนชอบติดเรียก กวนกง
      ตอบ :  เขาเรียก กวนกงก็คือท่านปู่แซ่กวน เอาว่าจริง ๆ ของท่านก็ถือว่าสุดยอดอยู่คนหนึ่ง จริง ๆ แล้วถ้าไม่ได้สมาธิสมาบัติถึงระดับหนึ่งนี่ทำอย่างกวนอูเขาไม่ได้นะ ประเภทหันไหล่ให้หมอฮัวโต๋ เชือดเนื้อขูดกระดูก แล้วตัวเองนั่งเล่นหมากรุกไปเรื่อย เป็นอย่างไร ทรงฌานไม่ได้ก็ร้องจ๊ากตั้งแต่มีดแรกแล้ว
      ถาม :  ตอนนี้ท่านอยู่ไหนครับ ?
      ตอบ :  ไม่รู้สิ ไม่ได้รับการยืนยัน อาตมาไม่พยากรณ์ใครหรอก
      ถาม :  ผมอ่านแบบว่าอ่านนิดเดียว สามก๊ก คือเริ่มเบื้องต้นนะครับว่า มือท่านยาวถึงเข่า อะไรอย่างนี้ครับ ?
      ตอบ :  อ๋อ! เล่าปี่ มือยาวถึงเข่า อันนั้นเป็นมหาปุริสลักษณะอย่างหนึ่ง มหาปุริสลักษณะ คือลักษณะของผู้ที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ประกอบด้วย มหาปุริสลักษณะ ๓๒ อย่าง และพยัญชนะอีก ๘๐ มีอยู่อย่างหนึ่งก็คือว่า มือยาวถึงหัวเข่า
              สมัยนั้นก็มีอยู่ ๒-๓ คน ที่มีมหาปุริสลักษณะ แต่ว่ามีไม่มากอย่างพราหมณ์พาวรี มีอยู่ ๓ อย่าง พระมหากัสสปะมีมากกว่า แล้วอีกรูปหนึ่งที่เหมือนพระพุทธเจ้าก็คือพระมหากัจจายนะ พระมหากัจจายนะท่านปรารถนาโพธิญาณมา บารมีก็ใกล้จะเป็นพระพุทธเจ้าอยู่เต็มที่แล้ว อยู่ ๆ ก็ประเภทเลี้ยวเลย พอเลี้ยวเลยของเดิมทำเอาไว้มันเยอะ ก็เลยทำให้คนเขาเข้าใจผิดกันเยอะ เพราะว่าจะมีพระพุทธเจ้า มีพระอานนท์ พุทธอนุชา และพระนันทะ พุทธอนุชา ๔ รูป รวมแล้วก็เป็น ๔ เหมือนกัน ๆ กัน แล้วบังเอิญว่าถ้าวันไหนออกบิณฑบาตทางเดียวกัน ชาวบ้านเขาก็ว่าสมณะรูปนี้ทำไมมักมากจริง เดี๋ยวมา ๆ ขอแล้วขออีกไม่รู้จบ ในเมื่อเป็นอย่างนั้น พระมหากัจจายนะท่านก็เลยใช้วิธีป้องกันไว้ก่อน อธิษฐานให้ตัวอ้วนเสีย คนจะได้จำได้ว่าคนละคนกัน พระมหากัจจายนะ เป็นพระอรหันตสาวกที่มีพระสูตรที่ท่านเทศน์ในพระไตรปิฎก
              อย่างพวกภัทเทกะรัตตะสูตร เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านอธิบายเทศน์พระสูตรภัทเทกะรัตตะสูตร เทศน์เสร็จแล้วพระที่ไม่เข้าใจมีมาก ก็ไปถามพระมหากัจจายนะ ก็คงลักษณะเดียวกับพวกเรา ถ้าจะบวชขึ้นมา อาจารย์ครับ ๆ อาจารย์บวชมาตั้งนานสองนาน อันนี้พระพุทธเจ้าท่านเทศน์หมายความว่าอย่างไรครับ ? พระมหากัจจายนะท่านก็อธิบายเป็นฉาก ๆ ให้ฟัง พอพระท่านมีโอกาสไปเฝ้าพระพุทธเจ้าอีกครั้งหนึ่ง ก็กราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่าภัทเทกะรัตตะสูตร คือพระสูตรที่เกี่ยวกับการมีราตรีอันเจริญ หมายความว่า เป็นผู้ที่ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ ไม่เห็นแก่กิน แก่นอน พระมหากัจจายนะท่านอธิบายมาอย่างนี้ ๆ จะถูกต้องไหม ? พระพุทธเจ้าพอฟังจบ ท่านก็สาธุการ บอกว่าดีแล้ว ๆ ถ้าหากว่าเป็นตถาคตเองอธิบายความก็จะอธิบายอย่างนี้ ก็หมายความว่า ทุกคำที่พระมหากัจจายนะอธิบายไปนั้นถูกต้องทั้งหมด ก็เลยตั้งพระมหากัจจายนะเป็นเอตทัคคะผู้เลิศกว่าสาวกอื่นในด้านอธิบายความย่อโดยพิสดาร
              ในเมื่อท่านรับรองว่าพระสูตรนี้พระมหากัจจายนะอธิบายถูก พอถึงเวลารวบรวมพระไตรปิฎกก็เลยบรรจุลงไปด้วย กลายเป็นสาวกที่มีพระสูตรอยู่ใน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เพราะฉะนั้นเล่าปี่ เขาว่าตายาวเหลือบเห็นใบหูตัวเองได้ มือยาวถึงเข่า
      ถาม :  แล้วที่หน้าแดงล่ะครับ ?
      ตอบ :  หน้าแดง ลักษณะของคนที่เป็นความดันสูง จะหน้าแดงเป็นปกติ สังเกตไว้ให้ดี ถ้าหากว่าสมัยก่อนที่วัดท่าซุง มีพระรูปหนึ่ง หลวงน้าสัมฤทธิ์ ไม่รู้ตอนนี้อยู่ทีไหน นั่นแหละหน้าแดงเป็นปกติเพราะความดันสูง แต่ของกวนอูนี่เขาแดงพิสดาร เขาใช้คำว่า หน้าแดงเหมือนพุทราสุก
      ถาม :  แล้วเวลาแต่งตัว คนไหนหน้าแดงเป็นคนดี คนไหนหน้าขาวแปลว่าคนร้าย ?
      ตอบ :  อันนั้นเขาแยกแยะสี ความเป็นจริงไม่ใช่อย่างนั้น หน้าดำเป็นคนดีก็เยอะไป แยกแยะด้วยสีเพื่อให้คนดูได้รู้ว่า เออ! ถ้าแต่งหน้าสีนี้มาเป็นตัวเอก แต่งหน้าสีนี้มาเป็นตัวโกง
      ถาม :  ...........................
      ตอบ :  เหมือนกับเราคิดเอง คนรอบข้างของเรา ของรอบข้างของเรา เขาก็ชวนให้เรารู้สึกว่าน่าเกลียด น่าชัง น่าโกรธ ไปเสียเรื่อยเปื่อย เขาสามารถใช้คนรอบข้างเป็นเครื่องมือได้ ของรอบข้างเป็นเครื่องมือได้แล้ว คนเหล่านั้นบางทียังไม่รู้ตัวเลยว่าสิ่งที่เขาทำ มันทำให้เราไม่พอหู ไม่พอตา และไม่พอใจ เราเองก็เรียบร้อย เสร็จมันไปตั้งนานแล้ว
      ถาม :  แล้วอย่างนี้เขาชักจูงจิตใจของคนรอบข้างเราให้ทำ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่ชักจูงอย่างเดียว ใช้เป็นเครื่องมือเลยแหละ
      ถาม :  แล้วคน ๆ นั้นเขาจะผิดไหมคะ ?
      ตอบ :  เขาจะไปผิดอะไรล่ะ
      ถาม :  เขาว่าเรานี่คะ ?
      ตอบ :  อย่าลืมว่าเจตนาคือ จะเป็นกรรม ถ้าหากว่าเจตนาเขาไม่มีก็ไม่เป็น แต่ส่วนใหญ่แล้วเขาจะอยู่ในลักษณะว่าจูงใจให้ตั้งใจทำอย่างนั้น บางคนเขาไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำไปว่าทำไมเขาต้องทำอย่างนั้น เพราะฉะนั้นทุกคนไม่น่าโกรธ สงสารมากกว่าไม่ต้องเครียดเป็นเรื่องปกติที่จะเกิดกับทุกคน
      ถาม :  แล้วทำไมแต่ก่อนไม่เป็นแบบนี้ล่ะคะ เขาเริ่มทดสอบแล้วหรือคะ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่จ้ะ งานนี้เป็นการทดสอบที่ละเอียดลึกซึ้งยิ่งขึ้น มีอยู่ช่วงหนึ่งหลังจากที่ระวังตัวมาตลอด เอ๊ะ! มันหายไปเฉย ๆ ไม่หลอกเราแล้วหรือ มันไม่ลองเราแล้วหรือ รอไป ๆ ครบ ๓ ปี มารู้ตัวตอนอยู่ก้นเหวพอดีเลย เหมือนกับทางมันลดลงทีละมิลลิเมตร เราไม่รู้ตัวว่าทางลดลง แต่พอเดินไปถึงปลายทางแหงนกลับมามองข้างหลัง อ้าว! มันอยู่ก้นเหวพอดีเลย มันหลอกเราได้ละเอียดขนาดนั้น เพราะเราระวังอยู่มันก็ยิ่งเอาให้หนักขึ้น เพราะฉะนั้นอย่าคิดว่าสบายนะตอนนี้ แล้วถึงเวลาร้องจ๊ากขึ้นมาเมื่อไร แล้วจะรู้ว่ามันหลอกเราด้วยวิธีไหน
      ถาม :  ก้นเหว หมายความว่าอย่างไรคะ ?
      ตอบ :  ก็พูดให้รู้ ให้เข้าใจว่าสิ่งที่เราไม่คิดว่าจะโดนเลยนั่นแหละ จริง ๆ เรากำลังโดนอยู่เต็ม ๆ อยู่แล้ว มันทำให้เราประมาท คิดว่าเขาไม่เอาแล้วเสร็จ ประมาทไม่ได้จ้ะ ประมาทเมื่อไรเสร็จแน่ ๆ
      ถาม :  สมมติว่า บางทีความคิดที่แวบเข้ามาในหัว เหมือนกับเรามองพระพุทธรูปอยู่ เป็นพระพุทธรูปในลักษณะที่แปลก ๆ เป็นความคิดที่แวบเข้ามา แต่เราไม่ได้ตั้งใจ อันนี้คือเขาตั้งใจทำให้เราอย่างไรคะ ?
      ตอบ :  เจตนาเลย เสร็จแล้วก็จะทำซ้ำไปอีกจุดหนึ่งว่า ให้เรามานั่งตำหนิตัวเองว่า ทำไมเราถึงคิดไม่ดี อย่างนี้ชั่ว อะไรอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ เสร็จแล้วก็รู้สึกละอายใจ ก็เลยไม่อยากเข้าใกล้ความดี ไม่อยากทำความดีไปอีก นั่นก็คือสิ่งที่มันต้องการ แต่ว่ามันจะจูงใจไปทีละขั้น
      ถาม :  จริง ๆ แล้วอันนี้ผิดไหมคะ ที่แบบว่าความคิดแวบเข้ามาโดยเราไม่ได้ตั้งใจ ?
      ตอบ :  เป็นมโนกรรม
      ถาม :  หมายความว่าผิด ?
      ตอบ :  ผิดเหมือนกัน จะเจตนาหรือไม่เจตนาก็ผิด เหมือนกับว่าเอามือเข้าไปแหย่ใส่ไฟ จะเจตนาหรือไม่เจตนา มันก็ร้อน มันก็ไหม้ เพียงแต่ว่าคนเจตนามันก็แหย่ไว้นานหน่อย มันก็ไหม้เยอะหน่อย
      ถาม :  ถ้าเราไม่สนใจความคิดนั้นล่ะคะ ?
      ตอบ :  ไม่สนใจ มันก็ทำให้สนใจจนได้แหละ สำคัญอยู่ตรงที่ว่าเราหยุดความคิดนั้นเป็นไหม
      ถาม :  ก็คือเรารู้ว่านี่เป็นเพียงความคิดที่ผ่านเข้ามาเท่านั้นเอง แล้วก็จะหยุดคิด แล้วก็ไม่สนใจมันอีก แบบนี้คือเราไม่ร้อนไปกับมัน อย่างนี้จะผิดหรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  ก็เรียกว่า ถูกไปนิดหนึ่ง คือเราต้องไม่ร้อนรน ไม่ดิ้นรน ไม่อะไรกับมัน ตั้งใจขอขมาพระรัตนตรัย และตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติด้วย ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้จ้ะ ถึงได้บอกว่าถูกไปนิดหนึ่ง ถ้าเราไม่สนใจมันแล้วเราไม่ตั้งใจปฏิบัติ ก็ไม่ได้อะไร ขาดทุนไปทีละนิด ๆ ไปเรื่อยใช่ไหม ขณะเดียวกันถ้าหากว่าเราไม่สนใจมัน ไม่ขอขมาพระรัตนตรัย โทษก็ยังคาอยู่กับเราอยู่นั่น เพราะฉะนั้นทุกอย่างต้องไปด้วยกันพร้อม ๆ กัน
      ถาม :  ถ้าเขามาในลักษณะของความฝันล่ะคะ อย่างเวลาไปเห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ๆ แต่ว่าทำไมไปอยู่ต่ำ ๆ อะไรอย่างนี้ เป็นการปรามาสหรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  ฝันส่วนฝัน ปรามาสนี่เรามีสติรู้ตัวอยู่แล้ว ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์
      ถาม :  ตอนนี้ความคิดเราเป็นอย่างไร สภาพเราเป็นอย่างไร จิตเราเป็นอย่างไร กำลังโกรธเป็นอย่างไร ก็นั่งดู ๆ ปุ๊บมันก็หยุด ความคิดก็หยุด พอความคิดหยุดแล้วก็ไม่รู้จะดูอะไร ก็ดูจิตตัวเอง ดูว่านี่คือจิต นี่คือความรู้สึกเป็นหลัก ดูปุ๊บมันก็หายไป คือความเป็นตัวเรา แต่ว่ามันแค่เสี้ยววินาที เร็วมาก แป๊บเดียวแล้วก็รู้สึกว่า ไม่มีเรา ไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรสักอย่างหนึ่ง ทุกอย่างว่างหมด สภาพอย่างนี้เรียกว่าอะไรคะ ?
      ตอบ :  ตามอาการที่ว่า จริง ๆ เป็นส่วนหนึ่งของอรูปฌานที่ ๓ สมาบัติที่ ๗ เรียก อากิญจัญญายตนฌาน
      ถาม :  ถ้าตายตอนนั้นก็ไปอยู่อรูปพรหมเลย ?
      ตอบ :  มีสิทธิ์ห้ามตาย ต่อท้ายด้วยนิพพานไว้เสมอ
      ถาม :  ตอนนั้นยังเด็ก แล้วไม่รู้ว่าคืออะไร ก็เลยกลัว กลัวแล้วก็เลิกทำเลย เพราะว่ามีความรู้สึกว่าไม่เห็นมีประโยชน์ ทำแล้วเหมือนก้อนหิน ?
      ตอบ :  กลัวว่ามันจะดี
      ถาม :  เหมือนกับว่าตัวเองกลายเป็นแบบว่า ไม่มีตัวตน หายไปเลย ก็เลยเลิกทำ
      ตอบ :  ทำใหม่ ง่าย
      ถาม :  แล้วถ้าจะฝึกต่อจากนั้น ?
      ตอบ :  ทำไม ? จะฝึกต่อจากนั้น หรือจะทำใหม่ให้ได้อย่างนั้น
      ถาม :  หรือว่าต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น ?
      ตอบ :  เริ่มใหม่ก็ทำแบบเดิม ก็จะได้แบบเดิม แต่ถ้าหากว่าจะเริ่มตั้งแต่ต้น ให้ตั้งรูปขึ้นมาก่อน อย่างเช่นว่าเราจับรูปพระพุทธรูปขึ้นมาก่อน แล้วอธิษฐานให้ภาพพระพุทธรูปหายไป แล้วก็ตั้งใจคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างในที่สุดก็หายไป ไม่มีอะไรเหลืออยู่ เหมือนอย่างกับภาพพระพุทธรูปนี้ แม้แต่นิดหนึ่งก็ไม่มี คน สัตว์ วัตถุธาตุ สิ่งของ เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายตัวไปในที่สุดเหมือนกัน ใจจะไม่เกาะอะไรเลย แม้แต่นิดหนึ่ง มันไม่เอา ค่อย ๆ คิดอย่างนี้ พออารมณ์ใจทรงตัวก็ตั้งใจภาวนา ให้อารมณ์ใจมันขึ้นให้เต็มที่ของมัน เดี๋ยวจะได้ไปนั่งตากแดด ตากฝนได้โดยไม่รู้จักร้อน ไม่รู้จักหนาว
      ถาม :  แล้วทำไมต้องตั้งพระพุทธรูปก่อนล่ะคะ ?
      ตอบ :  จะเป็นกสิณดวงใดดวงหนึ่งก่อนก็ได้เพื่อให้กำลังใจทรงตัว แล้วมันก็จะมีคำภาวนาของมันเหมือนกัน แต่ว่าตัวอรูปฌานส่วนใหญ่เป็นตัวคิด พอคิดจนกระทั่งมันเต็มที่แล้ว ใช้คำภาวนาต่อก็ได้ อย่างอรูปฌานที่ ๓ หรือสมาบัติที่ ๗ เขาใช้คำภาวนา นัตถิ กิญจิ แปลเป็นไทยว่า สักนิดหนึ่งก็ไม่มี
      ถาม :  จริง ๆ ก็คือ ภาวนา ภาษาไทยก็ได้หรือคะ ?
      ตอบ :  ใช่
      ถาม :  ทำจริง ๆ แล้ว จะเป็นอรูปพรหมหรือคะ ?
      ตอบ :  ก็ถ้าไปติดอยู่ตรงนั้น ก็เป็นน่ะสิ
      ถาม :  อยากจะทำแบบนั้นเหมือนกัน แต่ไม่กล้าค่ะ
      ตอบ :  ทำไปเถอะ ได้เป็นอรูปพรหมก็ได้ประสบการณ์ จะได้รู้ว่าเป็นอย่างไร ทำอะไรมัวแต่ไปกลัวอยู่ มันต้องกล้าสิ ลุยไปเลย หรือไม่ก่อนที่จะทำก็ตั้งใจว่า ถ้าหากว่าเป็นอะไรไป ตอนนี้เราไปนิพพาน ประกันความเสี่ยง ตั้งใจเอาไว้ก่อน
      ถาม :  เราตั้งใจแบบนี้ได้ แล้วตายตอนนั้นจะไปไหน ?
      ตอบ :  แล้วเราตั้งใจจะไปไหนล่ะ อันนี้ของเขา ๆ เซ็ทโปรแกรมล่วงหน้าได้จ้ะ
      ถาม :  ตั้งใจจะไปนิพพานแล้ว เราทำอย่างไรคะ ?
      ตอบ :  ก็ฝึกไป เราทำเพื่อเราจะไปนิพพานแล้ว ก็ฝึกไป
      ถาม :  สมมติว่ามีคนมาตัดคอเราไปโดยไม่รู้ตัว อย่างนี้ล่ะคะ ?
      ตอบ :  ไม่เป็นไร ก็บอกว่าโปรแกรมมันเซ็ทอยู่แล้ว ถึงเวลามันก็ไปตามนั้น
      ถาม :  จิตตอนขณะตายนี่มันอยู่ตรงอรูปฌาน แต่ก็ยังสามารถไปนิพพานได้ ?
      ตอบ :  รับประกันได้ ช่วงเวลาแค่วินาทีนี่สามารถถอยมาได้สบายมาก เพราะคนที่คล่องตัวจริง ๆ ๑-๒-๓-๔ , ๔-๓-๒-๑ นี่ไม่ทันกระพริบตา เขาก็ทำเสร็จแล้ว