ถาม:  ในการกำหนดจิตขึ้นไปกราบสมเด็จองค์ปฐม มีความรู้สึกว่าไม่ชัด ?
      ตอบ :  ไม่ต้องเลย ถ้าขึ้นไปอย่างนั้นได้ไม่ต้องเสียเวลาพิจารณา มันตัดอัตโนมัติอยู่แล้ว จิตกับกายมันเป็นคนละส่วนกันอยู่แล้ว เท่ากับตัดร่างกายไปได้เลย เพียงแต่ว่าทำอย่างไรให้อยู่ข้างบนนั้นให้นานที่สุด ทำอย่างไรให้สภาพจิตของเราสามารถรับสภาพพระนิพพานได้แจ่มใสที่สุด
              สมัยฝึกใหม่ ๆ ใช้วิธีสวดมนต์ถวายท่านไปอย่างนั้น เราเผลอปุ๊บลงมา อ้าว! ลงมาแล้วนี่หว่า ไปไม่ลามาไม่ไหว้เลย ปุ๊บเดี๋ยวมันหลุดจริง ๆ คราวนี้พอจิตมีงานทำก็เลยต้องเกาะอยู่ตรงนั้น เพราะตั้งใจแล้วว่าเราจะสวดมนต์ถวายท่าน ถ้าสวดมไม่จบมันก็ไม่ถอนออกมา ก็ว่าไปเรื่อย บังเอิญสวดได้เยอะ อย่างที่บอกนั่นแหละ สวดได้เป็นเล่มเลย ว่าไปเรื่อย ยิ่งอยู่นานเท่าไรกิเลสก็อ่อนกำลังลงมามากเท่านั้น ความชัดเจนของพระนิพพานก็มากขึ้นเท่านั้น ตัดอัตโนมัติอยู่แล้ วไม่ต้องเสีเวลาพิจารณาหรอก เพียงแต่ทำอย่างไรให้เกาะอยู่ให้นานที่สุดเท่านั้นเอง
      ถาม :  ในส่วนของความแจ่มใส จะไม่เคยเห็น จะเห็นแค่รองเท้าข้างหนึ่งไม่ถึงขนาดเห็นเป็นชฎา ?
      ตอบ :  ไม่ต้อง ให้มั่นใจว่าอยู่ตรงหน้าก็พอ บางทีป่วยหนัก ๆ นี่ไม่เห็นอะไรเลย มืดไปหมด แต่ความรู้สึกมั่นใจท่านอยู่ตรงหน้า ก็กราบลงไปตรงนั้นเลย
      ถาม :  มีอยู่วันหนึ่งหลวงพ่อมาให้พร ให้พุทธรักษา ธรรมรักษา สังฆรักษา ท่านบอกว่าอีกช่วงหนึ่งเราจะได้ข้อธรรม การปฏิบัติวิปัสสนา ผู้บังเกิดปัญญา หมายความว่าอย่างไร ?
      ตอบ :  จริง ๆ ก็คือว่า ถ้าหากว่าถึงเวลาฟุ้งซ่าน ไปไหนไม่เป็น นึกถึงตอนนั้นก็ได้ เพราะว่าไม่มีอะไรที่จะเป็นที่ยึดที่เกาะของเราได้อีกแล้ว นอกจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ใช่ไหม แล้วต้องเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในส่วนของนามธรรมด้วยคือ พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ไม่ใช่ร่างกายของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ใบลานที่จารึกธรรมะ ไม่ใช่ร่างกายจของพระสงฆ์ เกาะให้ถูก ถ้าเกาะผิดถึงเวลาสิ่งที่เกาะสลายไปเราก็แย่ แต่ถ้าเกาะถูกในส่วนของธรรมส่วนนั้นจะไม่มีวันสลาย นึกถึงเมื่อไรก็เต็มอยู่ในจิตใจของเราเมื่อนั้น
      ถาม :  ..........(ไม่ชัด).................
      ตอบ :  ทำไมล่ะ สัพเพ ธัมมา อนัตตา ก็คือสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ในที่สุดก็สลายไป ตั้งอยู่ไม่ได้ ไม่มีอะไรให้เรายึดถือได้ ธัมมาตัวนี้ก็คือ ธรรรมชาติ คือสิ่งทั้งปวง สัพเพ สังขารา อนิจจาติ สังขาร คือ เครื่องปรุงแต่งทั้งหลายไม่เที่ยง สัพเพ สังขาร ทุกขาติ สังขาร คือ เครื่อ่งปรุงแต่งทั้งหลาย สร้างทุกข์ให้เกิด เริ่มคิดก็เริ่มทุกข์ สัพเพ ธัมมา อนัตตาติ ธรรมทั้งหลาย หรือธรรมชาติทั้งหลาย ไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายได้ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
      ถาม :  ............(ไม่ชัด)...................
      ตอบ :  ตัวรู้ จริง ๆ ก็คือจิต จะเป็นจิต เป็นอทิสมานกาย เป็นสติสัมปะชัญญะ หรืออะไรก็ตาม รวม ๆ กันแล้วเขาเรียกว่า ตัวรู้
      ถาม :  ..............................
      ตอบ :  เห็นได้ชัดเลยว่า คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นสากลจริง ๆ ไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของโลก รัก โลภ โกรธ หลง ก็เป็น รัก โลภ โกรธ หลง ไม่ว่าจะอยู่กับชาติใด ภาษาใด กิเลสก็เท่ากัน เพียงแต่ใครจะมีการแสดงออกที่เรียกว่า ชัดเจนหรือว่าปกปิดต่างกันไป หรือว่าใครจะมีมาก มีน้อยแล้วแต่สภาพจิตที่อบรมกันมา ไปแล้วเถียงพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้เลย ท่านบอกว่า "อุปปาทา วา ภิกขเว ตถาคตานัง" ดูก่อนภิกขุทั้งหลาย ตถาคตจะอุบัติขึ้นก็ดี "อนุปปาทา วา ตถาคตานัง" ตถาคตไม่อุบัติขึ้นก็ดี "ฐิตา วะ สา ธาตุ ธัมมัฏฐิตะตา" ธรรมะตั้งมั่นเป็นปกติอย่างนั้นอยู่แล้วเป็น "อากาลิโก" ไม่เลือกกาล ไม่เลือกสมัย อยู่อย่างนั้นตลอด เพียงแต่จะมีปัญญาเห็นหรือเปล่า เสร็จแล้วท่านสรุปลงมา "สัพเพ สังขารา อะนิจจาติ" สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง "สัพเพ สังขารา ทุกขาติ" สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ "สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ" ธรรมะทั้งหลายไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน คือไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เถียงไม่ได้หรอก องค์นั้นน่ะอัจฉริยะจริง ๆ ไล่ตามท่านมาจะ ๓๐ ปีแล้ว นี่ปีที่ ๒๙ แล้วยังจับผิดท่านไม่ได้เลย ไอ้เราลูกศิษย์อกตัญญูจะจับผิดครูบาอาจารย์ จับผิดใครไม่จับผิด จับผิดครูใหญ่ จับไม่ได้ซักครั้ง ยิ่งทำยิ่งรู้สึกว่า ท่านเป็นยอดอัจฉริยะจริง ๆ ยิ่งทำยิ่งเห็นคุณพระรัตนตรัยจริง ๆ ถ้าไม่มีคนเก่งขนาดท่าน ไอ้ของเราเองชีวิตคงเป็นหมันไร้ความหมายไปเลย เพราะว่าไม่รู้ความดีที่แท้จริงเป็นอย่างไร มีใครลองจับผิดดูบ้างไหม ลองอย่างอาตมาก็ได้ จะได้โง่เหมือน ๆ กันอย่างไร บางครั้งโยมอาจจะฉลาด อาตมาโง่อยู่คนเดียว
      ถาม :  ทำไมพระพุทธองค์ถึงไม่ปรากฏตัวให้คนทั่วไปได้เห็น ?
      ตอบ :  ทำไมจะไม่ปรากฏล่ะ ปรากฏอยู่ตั้ง ๔๐ กว่าปี
      ถาม :  ในขณะชีวิตประจำวันล่ะครับ ?
      ตอบ :  แล้วทำไมต้องให้เห็น ?
      ถาม :  จะทำให้คนอื่นเชื่อถือมากขึ้น ?
      ตอบ :  ไม่หรอก สิ่งที่ท่านต้องการก็คือความหลุดพ้น ถ้าท่านมัวแต่ปรากฏตตัวอยู่ คนจะยึดติด จะเป็นลักษณะเรื่องของอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์มากกว่าธรรมบริสุทธิ์ ไม่ใช่การเลื่อมใสที่เกิดจากน้ำใสใจจริง แต่เป็นการเลื่อมใสเพราะว่าท่านทำในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ ในเมื่อหลุดพ้นไม่ได้ ท่านเองก็ไม่รู้จะโผล่มาให้คนอื่นเห็นทำไม แล้วท่านก็บอกเอาไว้ชัดแล้วนี่ "โยธัมมัง ปัสสะติ โสมังปัสสะติ" ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ทำจริงก็เห็น ทำไม่จริงช่วยไม่ได้ น่าคิดเหมือนกันนะ ทำไมพระพุทธเจ้าไม่ปรากฏให้เราเห็นอยู่มาตั้งนาน เห็นมากี่ครั้งแล้วก็ไม่รู้ แถมเห็นกี่องค์แล้วก็ไม่รู้ ยังเอาดีไม่ได้เลย แล้วโผล่มาทำไมให้เหนื่อย
              หลวงพ่อท่านบอกนะ บอกว่า "ข้าเจอพระพุทธเจ้ามากี่องค์นั่นหรือ ตั้งแต่เริ่มสร้างบารมีมานะ ที่เจอไม่รู้เหมือนกัน แค่เกิดเป็นลูกท่าน ๘๔ องค์เข้าไปแล้ว" เป็นอย่างไร สะใจไหม ที่เจอน่ะจำไม่ได้ แต่แค่เกิดเป็นลูกท่านน่ะ ๘๔ องค์เข้าไปแล้ว เพราะฉะนั้น...เจอกันขนาดนั้นยังเอาดีไม่ได้เลย หมายถึงถ้าเป็นพวกเรานะ ถ้าเป็นพวกเราเจอขนาดนั้นยังเอาดีไม่ได้เลย เพราะว่าส่วนใหญ่เราตามหลวงพ่อมาใช่ไหม อย่างขี้หมูขี้หมาต้องเจอบ้างนะ แล้วยังมาเกิดลำบากอยู่อย่างนี้ หรือว่าเราเป็นคนเก่ง เก่งหรือเปล่า น่าจะเก่งนะ เก่งตรงไหน อยากรู้ทุกข์ให้หมด เกิดเยอะ ๆ รู้ทุกข์ไม่ครบเดี๋ยวคุยกับคนอื่นเขาไม่ได้ เพราะฉะนั้น...อยากรู้ให้หมด เกิดเยอะ ๆ
      ถาม :  เราจำกันไม่ได้ ถ้าหากว่าจำกันได้ล่ะครับ ?
      ตอบ :  ถ้าจำได้ก็ไม่คิดที่จะหนีจริงอีก แต่หนีเพราะกลัว หลุดพ้นไม่ได้อีก ไม่ได้เกิดจากน้ำใสใจจริง อย่าไปว่ากฎของกรรมไม่แน่จริงนี่หว่า แน่จริงเปิดให้เราเห็นนรกสิ จะได้ไม่คิดชั่ว ตั้งหน้าตั้งตาทำความดี แบบนี้ไม่ได้ทำดีจากน้ำใสใจจริง ทำดีเพราะกลัวอาญา กลัวอาญาเพราะรู้ว่าผิดแล้วจะโดนลงโทษอย่างนั้น ไม่ใช่ประเภทคิดอยากจะดีเพราะน้ำใสใจจริงขึ้นมาอีก เจ๊งอีก
      ถาม :  แล้วต่างกันอย่างไรกับการที่เราเกาะพระนิพพาน เพราะว่าสิ่งที่เราต้องการคือการหลุดพ้น อย่างนี้เรียกว่า การกลัวอาญาอย่างหนึ่งหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  เรียกว่ากลัวเหมือนกัน แต่อันนี้กลัวด้วยความมีปัญญา ไม่ใช่กลัวเพราะบังคับ เห็น ๆ อยู่ตรงหน้า คนที่ปัญญาไม่ถึงจะไม่คิดที่จะดิ้นรนหนี ในลักษณะนี้เหมือนมดบนกะทะร้อน ๆ ดิ้นไปดิ้นมาวนไปวนมา แต่มันก็อยู่ของมันอย่างนั้น ไม่คิดจะกระโดดให้พ้นสักครั้ง
      ถาม :  คนเหล่านี้จะต้องเกิดมากเท่าไหร่ถึงจะมีปัญญาครับ ?
      ตอบ :  เกิดมากเท่าไรก็ไม่ทำให้เกิดปัญญาหรอก ถ้าไม่ได้รับการอบรมมา พอได้รับการอบรมมา เกิดความรู้ขึ้นมาว่ามันไม่ดี ตั้งใจจะหนีให้พ้นจากมัน ก็เริ่มต้นนับหนึ่งได้ คิดว่าจะไปนิพพาน พูดว่าจะไปนิพพาน ทำเพื่อให้ได้ไปนิพพาน ขั้นตอนต่างกัน อย่างพระพุทธเจ้าคิดว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า ถ้าเป็นปัญญาธิกะก็ว่าไปโน่น ๗ อสงไขย พูดว่าเราจะเป็นพระพุทธเจ้าว่าไปอีก ๙ อสงไขย ตั้งหน้าตั้งตาทำเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าอีก ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป รวมแล้วยี่สิบกับอีกหนึ่งแสน นั่นน่ะเพิ่งจะมีโอกาสเป็น นี่หลักสูตรสั้นที่สุดแล้วนะ นอกนั้นก็เพิ่มเท่าตัว สี่สิบกับหนึ่งแสน แปดสิบกับอีกหนี่งแสน พอไม่เห็นหัวเห็นท้ายแล้วรู้สึกว่าดูน่ากลัวเหลือเกิน หรือยังไม่รู้สึกอะไร หมายความว่าเมื่อไม่รู้ไม่เห็นหัวท้ายของมันเลย เกิดมาเท่าไรก็ไม่รู้ จะอยู่อีกนานเท่าไรก็ไม่รู้ ไม่รู้สึกสยดสยองบ้างเลยหรือ ถ้าเผลอเกิดอีก ก็ทุกข์อีก
      ถาม :  เพราะอะไรถึงมีสัญญาครับ ?
      ตอบ :  เพราะว่าเราจำ ไม่จำเฉย ๆ ไปยึดมันด้วย (หัวเราะ) ไอ้โน่นก็ของกู ไอ้นี่ก็ของกู ถึงเวลากูต้องจากไปกูก็ไม่ชอบใจ ไอ้นั่นก็ของกู ไอ้นี่ก็ของกู ถึงเวลาได้ของที่กูไม่ชอบกูก็ไม่เอาอีก (หัวเราะ) เป็นอย่างไรสัญญาทุกข์ไหม
      ถาม :  .....................
      ตอบ :  เมื่อวันที่ ๑๖ ลงไปใต้ ไปอาทิตย์กว่า ปรากฏว่าโยมที่ยะลาคือคุณสุชาติ อายุ ๖๐ กว่าแล้ว ได้ประโยชน์มากที่ เขาฟังตอนกลางคืน พอเช้าก็มากราบใหญ่ ขอกราบเท้าสักครั้ง เราก็สงสัยว่าเรื่องอะไร เขาว่า "ปฏิบัติติดมานานแล้ว พอฟังท่านพูดก็เลยได้" จริง ๆ ของแกถ้าหากว่าตัดสินใจก็ได้ไปนานแล้ว ขาดตัวตัดสินใจ พวกเราทุกคนก็เหมือนกัน ขาดตัวตัดสินใจ การตัดสินใจอยู่ในลักษณะที่ว่า อันนี้เราเอาแล้ว อันนี้เราจะทำแล้ว ถ้าตัดสินใจอย่างนั้นได้นี่ เรื่องของการเข้าถึงธรรมไม่ยาก
              มีอยู่สมัยหนึ่งตอนนั้นยังเป็นฆราวาสอยู่ หลังกรรมฐานแล้วหลวงพ่อท่านบอกว่า "เออ...วันนี้พระท่านมาบอกนะ ญาติโยมทั้งหมดที่อยู่ในบ้านสายลม นี่จะมีอยู่ประมาณ ๗๐ คนที่รักษาศีลแปดได้เลย" เราตัดสินใจเดี๋ยวนั้นเลยว่า เราคือหนึ่งในจำนวนนั้น ตั้งแต่วินาทีนั้นศีลแปดทรงตัวเลย คราวนี้การตัดสินใจของเรามีอย่างนี้ไหมล่ะ บอกว่าพระพุทธเจ้าดีแล้ว เราเคารพพระพุทธเจ้าไหม บอกว่าพระธรรมดีแล้ว ตั้งใจทำตามไหม บอกว่าพระสงฆ์ดี เราเคารพท่านจริงไหม เห็นว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราเห็นไหม ตายแล้วจะไปนิพพาน เราคิดว่าจะไปไหม ฟังดูก็ง่ายออก ขาดการตัดสินใจไปหน่อยเดียว แต่ทุกอย่างต้องรอวาระเวลาเหมือนกัน
      ถาม :  ทำไมถึงต้องรอเวลาครับ ?
      ตอบ :  ถ้ายังทำไม่พอก็ยังไม่ได้ รอไปเรื่อย ๆ ก่อน พอเมื่อไรก็ได้เมื่อนั้น จะว่าไปแล้วสิ่งที่พวกเราถามกัน สมัยปฏิบัติใหม่ ๆ ไม่เคยถามเลย แค่อ่านตำราก็เข้าใจแล้ว ถึงได้รู้สึกว่าที่หลวงพ่อท่านบอกว่า "พระพุทธเจ้าเคยทำนายไว้ว่า ต่อไปสัญญากับปัญญาคนจะทรามลง" ถ้าจะเป็นจริง เพราะว่าปัจจุบันอย่างที่พวกเราถาม ๆ กัน บางปัญหาเรารู้สึกว่าเราไม่เจ็บไม่คันเลย แต่ว่าขณะเดียวกันพวกเราไม่เข้าใจจริง ๆ ก็ถาม ก็มานั่งสงสารคนรุ่นถัด ๆ ไปอีก ขนาดลงมาถึงแค่นี้ยังขนาดนี้แล้ว รุ่นต่อไปจะขนาดไหน ตอนนั้นอ่านตามที่หลวงพ่อท่านเขียนในคู่มือปฏิบัติกรรมฐาน อ่านก็เข้าใจแล้วว่าต้องทำอย่างไร ตั้งหน้าตั้งตาทำไปเลย สามปีไม่มีใครเป็นครูนอกจากตำราเล่มเดียว แต่ว่าทำแล้วได้ผลมาก หลังจากนั้นเข้ากรุงเทพฯ มีโอกาสได้พบหลวงพ่อที่บ้านสายลม โอ้โฮ...สิ่งที่ท่านพูดแต่ละอย่างนี่ประโยชน์มหาศาลสำหรับเรา เก็บแล้วโกยแล้วประเภทที่ไม่มีรถจะขนแล้ว (หัวเราะ)
      ถาม :  ..............................
      ตอบ :  โลกยุคนี้เป็นยุคของพวกอภิญญา เป็นโลกของพวกขี้สงสัยช่างซักช่างถาม เพราะว่าธรรมชาติของพวกอภิญญาจะซนจะขี้สงสัยเป็นปกติ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะไปติดอยู่แค่ตรงนั้น พอติดอยู่แค่ตรงนั้นโอกาสจะเข้าถึงธรรมก็น้อยลง ปัจจุบันอภิญญาใหญ่ไม่ขึ้นมาให้เห็นชัด ๆ เพราะว่าคนเรายังไม่ยอมรับกฏของกรรมจริง ๆ โดยเฉพาะนิสัยเห็นใครลำบากไม่ได้จะช่วยเขา อภิญญาใหญ่นี่อานุภาพเขาสูงมาก นึกจะให้เป็นอะไรก็เป็นเดี๋ยวนั้น เห็นคนง่อยเปลี้ยเสียขามา นึกให้หายก็หายเดี๋ยวนั้น แต่เราไม่ได้ดูว่าเขาทำกรรมอะไรมาเขาถึงเป็นอย่างนั้น เราจะทำให้กฏของกรรมปั่นป่วนวุ่นวายไปหมด เพราะฉะนั้น...ถ้าหากจิตใจยังไม่ยอมรับกฏของกรรมอย่างแท้จริง พร้อมที่จะฝืนกฏแหกคอก อย่าหวังเลยว่าอำนาจอภิญญาใหญ่จะขึ้นให้เต็ม โดยเฉพาะศิษย์สายหลวงพ่อพื้นฐานพุทธภูมิเก่า การช่วยเหลือสงเคราะห์เขาเป็นเรื่องปกติ คราวนี้มันคิดที่จะช่วยอย่างเดียว โดยที่ลืมดูกฏของกรรม เพราะฉะนั้น...ให้เต็มที่ไม่ได้หรอก เต็มที่เมื่อไรบรรลัยเมื่อนั้น หรือใครรับปากได้ว่าจะไม่ทำ เผลอมันก็เอานิสัยพุทธภูมินี่ตัวเองยอมลำบาก ขอให้คนอื่นเขาสบายถึงแม้จะพุทธภูมิเทียม ๆ คำว่า "เทียม" คือลูกศิษย์หลวงพ่อจริง ๆ เลยเรียนหลักสูตรเกินมา จริง ๆ ถ้าหลักสูตรของปกติสาวกนี่เขาหนึ่งอสงไขยกับแสนมหากัป อัครสาวกสองอสงไขยกับแสนมหากับ พระปัจเจกพระพุทธเจ้าเท่ามหาสาวก พุทธเจ้าวิริยาธิกะ สิบหกอสงไขยกับแสนมหากัป ศรัทธาธิกะ แปดอสงไขยกับแสนมหากัป ปัญญาธิกะ สี่อสงไขยกับแสนมหากัป คราวนี้หลวงพ่อท่านเล่นสิบหก ถ้าตามท่านมาจากยุคแรกพวกเราเกินสิบก็เลยกลายเป็นพุทธภูมิเทียม ๆ คือทำหน้าที่แบบพุทธภูมิมาตลอด แต่ความต้องการที่จะปรารถนาพระโพธิญาณจริง ๆ ไม่มี มีความต้องการตามหลวงพ่อไปเท่านั้น
              เพราะฉะนั้น...ในเมื่อวิสัยมาลักษณะของพุทธภูมิเขา พอเห็นคนอื่นลำบากอดไม่ได้หรอก เดี๋ยวก็ยื่นหน้าไปยุ่งกับเขาจนได้แหละ ยุ่งเมื่อไรก็บรรลัยเมื่อนั้น ส่วนใหญ่พวกลีลาพุทธภูมิเขาต้องมาในลักษณะแข็ง ที่แข็งเพราะว่ากำลังใจท่านเข้มแข็งบารมีท่านสูง ในเมื่อมาในลักษณะแข็ง พอไปเจอลักษณะต่อต้านเข้า เราก็ชนกระจายเลย คนเดือดร้อนอีกเยอะ เพราะฉะนั้น...ล็อกเอาไว้ก่อน ขืนให้มันได้เลยมันยุ่ง เสียดายไหมที่ไม่ได้ ถ้าได้แล้วจะรู้ ติดอยู่อีกนานเลย อาตมาติดไม่นานหรอก สามปีก่อน สามปีกว่าที่ไปสนุกสนานอยู่กับมัน ใครเขาอยากรู้เรื่องอะไรกลายเป็นเด็กรับใช้เขาไปเลย เสือกไปทุกเรื่อง บอกเขาได้ทุกเรื่อง แล้วยิ่งคนเขาชมเข้า แหม...ตูดกระดกเลย แหม...รู้ได้ชัดเจนแจ่มใสดีจัง คล่องตัวอะไรอย่างนี้ ไปกันใหญ่
              คราวนี้วันนั้นหลวงพ่อท่านเทศน์ที่บ้านสายลมพอดี ท่านบอกว่า "บุคคลที่ได้วิชชาสอง อภิญญาห้า สมาบัติแปด หรือกรรมฐาน ๔๐ ห่างนรกแค่ของนิ้วกั้น" ไอ้เราไม่ได้อย่างนี้ก็เหงื่อหยด แล้วกูไม่แช่ในนรกทั้งตัวเลยหรือ คราวนี้หลวงพ่อท่านก็ว่าต่อ "ถ้าจะให้พ้นอบายภูมิจริง ๆ ต้องเป็นพระโสดาบัน" ความเป็นพระโสดาบันก็ไม่ยากหรอก ให้เคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างจริงจัง ไม่ล่วงเกินด้วยกาย วาจา ใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง คิดอยู่เสมอว่าเราจะตาย ถ้าหากว่าตายเมื่อไรเราจะไปนิพพาน คราวนี้ที่เหลือก็ไปกวดศีลให้บริสุทธิ์ ไม่ล่วงศีลด้วยตัวเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้คนอื่นเขาทำ ไม่ยินดีเมื่อคนอื่นเขาทำ แหม...ได้ยินตอนนั้นเหมือนกับนักโทษประหารแล้ว อยู่ ๆ มีคนมาเปิดประตูให้หนี เผ่นสุดชีวิตเลย ไม่อยู่แล้ว เพราะตอนนั้นมัวแต่สนุกอยู่ ถ้าตายตอนนั้นอย่างเก่งก็เป็นพรหม แล้วไอ้พรหมโลกีย์นี่พร้อมที่จะลงนรก หมดบุญเมื่อไรก็เสร็จเขาอีก ถ้าอย่างโชคดี ๆ ก็ยังติดมาเป็นมนุษย์อยู่ แล้วเกิดโชคร้ายทำกรรมเอาไว้เยอะ แรงกรรมสูงกว่า ดึงพรึบเดียวลงอบายภูมิ ก็ซวยไม่รู้จบเลยบ หนี้เก่าไม่ได้ใช้ไว้เยอะ หนีเขามาเยอะ ชาติหลัง ๆ ไม่ใช้หนี้เลย หนีตลอด หนีตลอดตรงที่ว่าถึงเวลาสร้างฌานสมาบัติให้เกิดได้ เราทำฌานสมาบัติคล่องตัว จิตเกาะอยู่กับฌานสมาบัติ ตายเมื่อไรก็เผ่นหนีเขาได้ แต่หนีได้ชั่วคราวนี่สิ เจ้าหนี้เขาไม่ได้ไปไหน มันรอทวงอยู่นั่น เผลอลงไปเมื่อไร ทั้งต้นทั้งดอกบรรลัยเลย เลยต้องตะกายหนีกันสุดชีวิตเลย ตอนนั้นรู้สึกจริง ๆ เหงื่อแตกท่วมตัว กูไม่รอดแน่แล้ว ขนาดคนได้กรรมฐาน ๔๐หมายความว่าเขาสามารถทรงอารมณ์เป็นฌานสี่ได้ทุกกอง แต่ว่ายังไม่ใช่พระอริยเจ้า ห่างนรกแค่นิ้วกั้น แล้วเขาเราทำไม่ได้ขนาดนั้น ไม่แย่หรือ พอหลวงพ่อท่านบอกทาง เหมือนกับนักโทษประหารแล้วมีคนเปิดประตูให้หนี เผ่นสุดชีวิตสิขอรับ
              ต่อไปนี้ไปกูไม่เอาอีกแล้ว มโนมยิทธิจะใช้อย่างเดียวคือไปกราบพระเท่านั้น ถึงขนาดอะไรรู้ไหม พระจุฬามณีกูก็ไม่แวะ (หัวเราะ) กูไปพระนิพพานที่เดียวเลย ตอนนั้นกลัวจริง ๆ กลัวพลาด ปู่ย่าตายายเคยไปไหว้ประจำไม่เอาแล้ว เผ่นพรวดเดียวขึ้นนิพพานเลย ตอนหลังชักไม่เข้าท่า เราขึ้นนิพพานไปเลย ที่เคยไปไหว้ท่านอยู่ทุกวันไม่ได้ไหว้เลย ใช้วิธีอย่างไรรู้ไหม เชิญท่านมาแล้วก็ไหว้ท่านบนนิพพานเลย เราก็ทำของเราบวม ๆ ตั้งนานเนกาเล เอ๊ะ...ทำไมเราเชิญท่านแล้วท่านก็มาได้ ก็เห็นชัด ๆ เราก็ไหว้ท่านได้ สงสัยอยู่นานเลย มาระยะหลัง ๆ ก่อนหลวงพ่อมรณภาพไม่นาน ท่านพูดถึงเรื่องที่ท่านชวนเทวดา นางฟ้า พรหมไปนิพพาน เราก็อ๋อ...ที่แท้ทำได้ คือพูดง่าย ๆ ว่า ถ้าไม่มีใครเชิญ ท่านก็ไม่ไป เพราะว่าไม่ใช่งานของท่าน ไม่ใช่เขตของท่าน คราวนี้ถ้าหากว่ามีผู้เชิญท่านก็พร้อมที่จะไป แหม...ที่อย่างนั้นใครก็อยากไปอยู่แล้ว อันนี้ของเราก็บังเอิญขี้ตรงร่อง ไม่ได้คิดนะ คิดอยู่อย่างเดียวว่าเรากลัว กลัวว่าตายแล้วเราจะติดอยู่แค่นั้น เราก็เผ่นไปนิพพาน แหม...ไอ้กิเลสหมดไม่จริง ยังกังวลอีก ปู่ ย่า ตา ยาย ผู้มีพระคุณ พ่อ แม่ของเราเคยไหว้อยู่ทุกวัน เราก็ไม่ได้ไหว้ท่าน ตั้งใจน้อมนึกถึงท่านบนนิพพาน เอ๊ะ...ท่านก็มานี่หว่า ยังไปคิดว่านี่เราอุปทานหรือเปล่า สนุกมาก ประสบการณ์แบบนี้ใครมีบ้าง ประสบการณ์ขี้ตรงร่องนี่เรามั่วถูกอยู่บ่อย มั่วถูกจนกระทั่งฟลุ๊คบ่อยจนน่าเกลียด
              อย่างคาถาเงินล้านก็เหมือนกัน พอท่านบอก "สัมปติจฉามิ" เราเคยท่อง สัมปติจฉามิ สัมปจิตฉามิอยู่ก็ต่อไปเลย เลยเป็นท่องคาถาเงินล้านมีสัมปจิตฉามิ มาก่อนหน้าเขาตั้งหลายปี จนกระทั่งหลวงพ่อท่านมาบอกให้ใส่ "สัมปจิตฉามิ" ลงไป คนเลยเอาไปใส่ไว้บนหัวนาสังสิโม แต่ของเราไม่ย้ายแล้ว ของเราเอาไว้ต่อสัมปติจฉามิเป็นปกติแล้ว เราก็ว่าของเราไปเรื่อย ฟลุ๊คอยู่เรื่อง บังเอิญทำแล้วตรงพอดี