ถาม: ครูบาเจ้าชัยยะวงศาท่านเคยพูดว่า "วัดของท่านที่พระบาทห้วยต้มจะอยู่ถึง ๕,๐๐๐ ปี เป็น ๑ ใน ๓ วัด" ไม่ทราบว่าอีก ๒ วัดเป็นที่ไหนครับ ?
ตอบ : ไม่ทราบเหมือนกัน ถ้าหากว่ามีอยู่จุดหนึ่งคือ ดอยตุง อันนั้นพระพุทธเจ้าท่านพยากรณ์ว่า จะประดิษฐานพระศาสนาไว้ ๕,๐๐๐ ปี ตีเสียว่าเป็นวัดที่ ๒ ก็แล้วกัน อีกวัดหนึ่งต้องหาเองแล้ว เพราะอะไรที่ไม่ได้ยินต่อให้รู้ก็ไม่กล้าพูด กลัวผิด ถ้าหากว่าได้ยินหลวงพ่อท่านพูดมาจะกล้าพูด
ถาม : ชาตะรูปะ ระชะตะ ศีลข้อนี้ ?
ตอบ : คิดว่าเงินนั้นเป็นของเรา ถ้ารับมาเพื่อสงฆ์ก็ดี หรือเรารู้ตัวอยู่เสมอ ว่ามันคือแค่ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่เขาสมมติขึ้นมาให้เราใช้เท่านั้น เราก็ใช้ไปให้อยู่ในสมณสารูป เป็นต้นว่า ใช้เป็นค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่ายารักษาโรค ส่วนที่เหลือให้ผลักเข้าไปในกองบุญ การกุศล สังฆทาน ธรรมทาน วิหารทาน ถ้าสะสมเพื่อตัวเองเมื่่อไรผิดแน่ ๆ เลย ถ้าทำบุญใหญ่อย่าให้ต่ำกว่าสังฆทาน เรื่องของการจับเงินไม่จับเงินทำให้พระธรรมยุติจำพวกหนึ่ง หรือจำนวนหนึ่งไปติดอยู่ในตรงจุดที่ว่า ท่านคิดว่าท่านบริสุทธิ์กว่า คุณลองไปดูบางวัด ถ้าเราเป็นพระมหานิกายไป ท่านจัดเราไปนั่งเหนือเณรเท่านั้นเอง ท่านถือว่าเราศีลน้อยกว่าท่าน เลยกลายเป็นสีลัพพัตตุปาทาน คือการยึดมั่นในศีลพรต คือหลักการปฏิบัติของตนดีกว่าคนอื่นเขา อย่างนั้นไปไหนไม่รอดหรอก
จริง ๆ พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ว่า "สิกขาบทเล็กน้อยบางสิกขาบท กาลต่อไปในเบื้องหน้าไม่เหมาะสมกับยุคสมัย ให้สงฆ์ช่วยกันเพิกถอนได้" คราวนี้ไม่มีใครกล้าทำ เลยกลายเป็นยึดถือสืบ ๆ ต่อกันมา หลวงพ่อท่านพิจารณาดูแล้ว มีข้อนี้แหละที่น่าถอนมากที่สุด เพราะว่าปัจจุบันนี้ไม่ว่าขึ้นรถลงเรือเป็นเงินทั้งนั้น ไม่เหมือนกับสมัยก่อนที่ญาติโยมยังมีจิตโอบอ้อมอารี ยังมีจิตเข้าถึงธรรมเป็นจำนวนมาก ถึงเวลาก็ให้การสงเคราะห์ อาตมาเองสมัยก่อนไม่มีรถส่วนตัวใช้ ขึ้นรถส่งเงินให้จนกระทั่งกระเป๋ารถออกปากว่าไม่เก็บถึงจะหยุด ถ้าไม่อย่างนั้นกลัวอาบัติปาราชิก เจอหลายครั้งพอเราขยับจะส่งเงินให้ บรรดาผู้ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ซึ่งท่านขึ้นมาตั้งแต่ไหนไม่รู้ ท่านตะครุบมือไว้แล้วแกล้งทำเป็นหลับ กลัวว่าถ้าเราส่งให้แล้วเขาเก็บ ตัวเองจะเสียสตางค์ด้วย อย่างนั้นผมถือว่าเจตนาโกงเขาเลย ถ้าเจตนาโกงเขาอย่างนั้น ปาราชิกโดยไม่รู้ตัวเลย เพราะเกินบาทอยู่แล้วค่ารถ ต้องระวังไว้นิดหนึ่ง ให้จนกว่าเขาจะบอกว่าไม่เก็บ หรือไม่ก็ให้จนกระทั่งถึงที่หมายแล้วก็ลง ถือว่าให้ไม่สำเร็จก็แล้วกัน เพราะว่าบางคันเขาไม่เก็บจริง ๆ แต่ว่าเท่าที่เจอส่วนมากเก็บแต่ว่ามีส่วนลด ไปเจอเพื่อนผมที่วัดเทพศิรินทร์ ท่านเป็นน้องปีหนึ่ง แต่ผมเรียกท่านว่า หลวงพี่ ไปไหนต้องพาเณรไปด้วย เพราะว่าเป็นพระเขาไม่จับเงิน ผมอยู่วัดเทพศิรินทร์อยู่ ๔ ปี คอยปรนนิบัติดูแลหลวงปู่มหาอำพันอยู่ คราวนี้เวลาผมอยู่ที่นั่น ถ้าญาติโยมมาถวายปัจจัย ผมจะบอกว่า "วางไวันั่นแหละจ้ะโยม ท่านมีลูกศิษย์แล้วเดี๋ยวจะให้เขามาเก็บ" แต่พอโยมหันหลังไปผมคว้าหมับใส่ตู้ หลวงปู่ท่านก็นั่งยิ้ม คือเราอยู่กับเขา เราต้องรักษาระเบียบวินัยตามเขา แต่หลวงปู่ท่านรู้อยู่แล้วว่าข้อนี้เราไม่ใส่ใจท่านก็ยิ้ม
แล้วถึงเวลาหลวงพี่มนตรีท่านไปกับเณร ไปอีสานด้วยกัน แต่ปรากฏว่าเณรก็ลง หลวงพี่มนตรีหันมาไม่เจอเณร ตายห่า...! แล้วกูจะทำอย่างไร ต้องบอกให้รถเขาหยุด แล้วไม่รู้ว่าเณรลงไปตรงไหนก็ไม่รู้ ตัวเองอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ท่านบอกว่า "หน้ามืดเลยหลวงพี่เอ๊ย" ท่านพูดกับผม ท่านบอกว่า"กว่าจะบิณฑบาตให้คนซื้อตั๋วรถเมล์กลับได้ เจ้าประคุณเถอะอายเขาซะเหงื่อตกแล้วตกอีก คนคอยแต่ระแวงสงสัยว่าจะไปหลอกลวงเอาสตางค์เขาหรือเปล่า บอกซื้อเป็นตั๋วเลย เขาเองเขายังไม่ค่อยอยากจะเชื่อ" นั่นแหละแกบอกเข็ดเลย คราวนี้ไปไหนไกล ๆ ไม่อยากจะไปอีกแล้ว ลำบากขนาดนั้น
ส่วนที่วัดท่าซุงตอนนั้นผมบวชใหม่ ๆ ผมช่วยจำหน่ายวัตถุมงคลอยู่ เจอหลายครั้งเหมือนกัน ลักษณะที่ว่ามาถึงท่านหยิบซองปัจจัยออกมา แล้วเอาไม้เขี่ยออกมาให้เป็นราคาวัตถุมงคลลักษณะนั้น คราวนี้ไปเจอรุ่นพี่ทีเด็ดของผมคือ หลวงตาวัชรชัย หลวงตาแกโผงผางโฉ่งฉ่างพอกับผมนั่นแหละ เห็นแบงค์ใหญ่แบงค์ห้าร้อยมาซื้อของร้อยหนึ่ง แกทอนแบงค์ยี่สิบให้สี่ร้อย ทอนแบงค์ยี่สิบให้สี่ร้อยยังไม่พอ แกวางแบบพรืดเต็มหลังตู้ แล้วแกก็เดินไปเข้าส้วมเลย ถามว่า "หลวงพี่เข้าส้วมจริง ๆ หรือ ?" "เปล่าหรอก กูแอบดู ไอ้ห่า...มันหมดท่าจริง ๆ ก็ใช้มือรวบนั่นแหละ" นั่นแหละพี่เราเขาว่าอย่างนั้น
ส่วนอีกครั้่งหนึ่งเราไปเจอท่านพกตั๋วแลกเงินมา ท่านไม่จับเงิน แต่ท่านพกตั๋วแลกเงินใบร้อยมาสามเล่ม สามหมื่นถ้วน ๆ บอก "โอ้โฮ...พระไม่จับเงินนี่ เงินเยอะกว่าเราหลายเท่าเลย" มาถึงท่านก็ฉีกตั๋วแลกเงินให้ เราไม่รู้ว่าจะใช้อย่างไร จะทำอย่างไร ก็เดินเข้าไปที่ห้องข้างหลัง ถามหลวงพี่ชัยศรี ตอนนั้นท่านยังอยู่ ถามว่า "หลวงพี่ครับ ผมจะทำอย่างไรครับ" "อ๋อ...ไม่ยากหรอก ถ้ามีเงินเหลือ คุณทอนเป็นเงินสดให้ท่านไป ส่วนอันนี้เดี๋ยวเราไปเบิกที่ไปรษณีย์ได้" ปรากฏว่าหลวงตาวัชรชัยอีกนั่นแหละ โผล่มาพอดีเลย ถามว่า "มีปัญหาอะไรกันหรือ ?" "พี่ครับ ท่านส่งให้มาอย่างนี้ ผมเลยมาถามพี่ชัยศรี" พี่วัชรชัยแกก็ภาษาคนปากไว พูดตรง "ไอ้ห่า...นี่มันก็เงินเหมือนกันละวะ" ปรากฏว่าไอ้ห่าโผล่ตามมาพอดีได้ยินไปเต็ม ๆ สองหูเลย คือท่านเห็นเราเข้าไปนานท่านก็ตาม นึกว่าเราไม่รู้ว่าต้องทอนอย่างไร เจอไอ้ห่าเข้าไปเต็ม ๆ ตีหน้าไม่ถูกเลย
ส่วนอีกครั้งหนึ่งเป็นแม่ชี แม่ชีแค่ศีลแปด แต่แม่ชีองค์นั้นท่านรักษาศีลสิบ ท่านเจ้าขาดิฉันจะมาบริจาคเงินเข้าโรงครัวเจ้าค่ะ ลักษณะเดียวกันคือ ล้วงซองปัจจัยมา แล้วเอาไม้เขี่ยให้ เราก็ถาม "แล้วแม่ชีชื่ออะไรล่ะจ๊ะ ?" ท่านก็บอกชื่อ บอกนามสกุล อยู่วัดไหนก็จดไป พอท่านเขี่ยออกมา เราก็เอาสมุดรับ แล้วก็พับเก็บเอาไว้ แหม...ประเภทแม่ชีก็ตาโต ท่านไม่จับเงินเหมือนกันหรือเจ้าคะ บอก "แหม...โยมเป็นแม่ชียังไม่จับเลยนี่" เราพูดไปซะอย่างนั้น ก็ไม่ได้บอกว่าเราจับหรือไม่จับหรอก คราวนี้แกพูดน้ำไหลไฟดับเลย คิดว่าพวกเดียวกัน ความจริงเราดูลีลาก็รู้แล้วว่าแกมาลักษณะนั้น แล้วถ้าเราจับ จะกลายเป็นลักษณะที่เรียกว่าแกจะดูถูกเอา แล้วจะเป็นโทษกับแกเอง เราเลยต้องดัดจริตไม่จับซะหน่อย
ส่วนที่ชัดที่สุดคือ หลวงปู่บุดดา สมัยปี ๑๗, ๑๘, ๑๙, ๒๐ นั่นแหละ เป็นสมัยร่วมสร้างโบสถ์ ช่วง ๓ ปี หลวงพ่อท่านนิมนต์พระดีมา ๑๐ กว่าองค์ มีหลวงปู่บุดดาอยู่ด้วย หลวงปู่บุดดาท่านไม่จับเงินตามแบบธรรมยุติ คราวนี้ญาติโยมก็ถวายเงิน พวกเรานิยมใส่ย่ามกันนี่ ลูกศิษย์ก็เอาถุงก๊อบแก๊บรับไว้ พอโยมถวายเสร็จก็ผูกถุง หลวงปู่ท่านก็แหวกย่ามซะกว้างเลยนะ ลูกศิษย์ก็หย่อนสตางค์ลงไป หลวงพ่อหันมาเจอเข้าพอดี อ๋อ...ไม่จับเงินใช่ไหม เอามานี่ ท่านคว้าหมับไปเลย หลวงปู่บุดดาตะครุบสองมือเลย จับแล้วครับ หลวงพ่อบอก "เออ...ให้รู้อย่างนั้นสิ กับอีแค่ดินน้ำไฟลมธรรมดายังปล่อยให้เป็นอันตรายกับใจได้ ก็อย่าใช้มันเลย ผมใช้เองก็ได้" ตั้งแต่นั้นมาหลวงปู่บุดดาจับเงินตลอด
แต่เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ บารมีหลวงปู่บุดดาเหลือหลายจริง ๆ ท่านเป็นพระธรรมยุติ ท่านจับเงินไม่มีใครกล้าว่าท่านซักคำ ท่านเป็นพระธรรมยุติ ผู้หญิงอยากจะนวดท่าน ท่านก็ยื่นขาให้เขานวด ไม่มีใครว่าท่านซักคำ วัตรปฏิบัติท่านบริสุทธิ์จนไม่มีใครสงสัยจริง ๆ ว่าท่านเป็นพระดี ขนาดบรรดานักวิจารณ์แสบ ๆ ปากคันชนิดเห็นใครทนไม่ได้ ไม่มีใครกล้าว่าหลวงปู่ซักคำ จริ งๆ ยังไม่เจอธรรมยุติที่ได้รับการ ปาปมุติ ประกาศสมมติว่าเป็นพระอรหันต์เหมือนหลวงปู่เลย
เขาจะมีอยู่อันหนึ่ง สติวินัย การที่สงฆ์สวดสมมติว่า "ภิกษุนี้เป็นอรหันต์แล้ว ย่อมไม่ต้องด้วยอาบัติเล็กน้อยที่ท่านทำ" หลวงปู่บุดดาไม่ต้องมีใครสวดเลย ทุกคนมั่นใจว่าท่านดีแน่ ขนาดธรรมยุติด้วยกันเห็นว่าท่านทำอย่างนั้น ไม่มีใครกล้าวิจารณ์เลยซักคน จริง ๆ หลวงปู่บารมีท่านสุดยอดจริง ๆ จับเงินท่านก็จับหน้าตาเฉย ลูกศิษย์ผู้หญิงอยากนวด เห็นลูกศิษย์ผู้ชายนวดอยู่นั่งมองตาแป๋ว ท่านก็ยื่นขาให้เขานวด หลายอย่างต้องการความพอดี
ข้อไม่จับเงินนี่สิกขาบทที่ ๘ ในโกสิยวรรค นิสสัคคียปาจิตตีย์ "ภิกษุรับเงินและทอง หรือสิ่งของที่ใช้แทนเงินทองต้องอาบัตินิสสัคคียปาจิตตีย์" คราวนี้เราจะไปหยุดแค่นั้นไม่ได้ ข้อที่ ๙ ท่านบอกว่า "ภิกษุรับเอง หรือให้ผู้อื่นรับซึ่งเงินและทองนั้น ต้องด้วยนิสสัคคียปาจิตตีย์เหมือนกัน" บรรลัยละสิ เพราะฉะนั้น...ประเภทให้โยมรับแทน รับแต่ใบปวารณาอะไรจริง ๆ ก็โดนอาบัติเหมือนกันนั่นแหละ หลวงพ่อท่านเลยบอกกับผม บอกว่า "หน้าด้านรับมันไปเถอะ" เพียงแต่ว่ารับไปแล้ว ให้ใช้อย่างที่บอกไปนั่นแหละ
ถาม : โอวัลติน นมถั่วเหลือง กาแฟ ?
ตอบ : ถ้าหากว่ากาแฟได้ครับ นมถั่วเหลืองกับโอวัลติน โอวัลตตินจะมีส่วนผสมของพวกข้าว พวกมอลต์ พวกไข่แดง อันนี้อาหารชัดเลย ส่วนถั่วท่านระบุไว้ชัดแล้วเป็นอาหาร เพราะท่านบอก "สาลิ วีหิ ตัณฑุลา" ข้าว ถั่ว งา เป็นอาหาร เพราะฉะนั้น...ถึงจะเป็นน้ำแล้วก็ฉันไม่ได้ เพราะฉะนั้น...พวกน้ำเต้าหู้ น้ำถั่วเหลือง จริง ๆ ฉันไม่ได้ พวกนมถ้าหากนักแล้วเป็นพวกเนยใส แต่คราวนี้ที่ธรรมยุติท่านไม่ฉัน เพราะท่านถือว่านมข้นมีส่วนผสมของแป้งที่เป็นอาหารอยู่ แต่ท่านไปเล่นฉันเนยเป็นก้อน ๆ เลย มันมากเลย ดูท่านทำแล้วน่าฉันเหมือนกันนะ ท่านจะปาดเป็นแผ่น ๆ แล้วมีการหั่นพริกลงไปชิ้นหนึ่ง ๆ ดูแล้วน่ากินด้วย นั่นหนักกว่านมอีก
คราวนี้ของเรา เรามาดูตรงจุดที่ว่าถ้าร่างกายกระวนกระวายทนไม่ไหวจริง ๆ เราฉันเพื่อบรรเทานะ ประเภทแก้วครึ่งแก้วว่าไปเถอะ แต่ว่าอย่าถึงขนาดประเภทฟาดเข้าไปจนอิ่มหรือจุก เพราะเราต้องมี โภชเนมัตตัญญุตา รู้ประมาณในการกิน
ถาม : ยาแคปซูลสาหร่ายสไรูลิน่าละครับ ?
ตอบ : อันนั้นถ้าเขาบอกว่าเป็นยาก็คือยา แต่ว่าสายหร่ายทะเลนี่ผมว่าฉันเยอะ ๆ อิ่มนะ รู้สึกเขาให้กินครั้งหนึ่ง ๓๐-๔๐ เม็ดเลยไม่ใช่หรือ ? สมัยผมอยู่กับหลวงปู่มหาอำพันเขาให้กินเป็นกำเลย ฉันโดยเจตนารักษาโรคแล้วกัน อย่าไปฉันโดยเจนาให้ไม่หิว
ส่วนเรื่องกาแฟเขาถือเป็นผลเภสัช สิ่งที่มีผลเป็นยา ใบชาเป็นปัณณเภสัชใบเป็นยา พวกนี้ประเคนครั้งเดียวฉันได้ตลอดชีวิต เพียงแต่ว่าถ้าเป็นกาละกระคนกันอย่างเช่นว่า ผสมน้ำตาลก็นับอายุของน้ำตาล แต่คอฟฟี่เมตเขานับเป็นน้ำมัน อายุเท่ากับน้ำตาลเหมือนกัน ๗ วันเหมือนกัน ถ้าเราฉันอย่างอื่นก็นับอายุแค่ ๗ วัน ถ้าหากว่าฉันกาแฟดำเพียว ๆ ประเคนครั้งเดียวฟาดยันตายเลย
เรื่องของพระฟังรู้เรื่องหรือเปล่าไม่รู้ เภสัช คือสิ่งที่ว่าเป็นยา มีหลายอย่าง มูลเภสัช คือรากเป็นยา กาสาวเภสัช คือเปลือกเป็นยา ปัณณเภสัช คือใบเป็นยา ผลเภสัช คือผลเป็นยา ชตุเภสัช คือยางเป็นยา โลณเภสัช คือเกลือเป็นยา พวกนี้ประเคนครั้งเดียวฉันได้ตลอดชีวิต
ถาม : .........................
ตอบ : ผมไปพม่ามีหลายอย่างที่เขากินกันมันไปเลย แต่ว่าบ้านเราไม่ได้ทำอย่างนั้น อย่างเช่นว่า ยำใบบัวบก ใบบัวบกเขาถือว่าเป็นปัณณเภสัช ใบเป็นยา ยำขิง ซอยขิงลงมาแล้วก็ซอยพริกลงไป ราดน้ำมันตามไป โรยน้ำตาลไปหน่อยหนึ่งอย่างนี้ เออ...น่าจะกินได้ เพราะเป็นของอนุญาตทั้งหมด แต่เจตนาทำกินอิ่มเลย เจตนานี้ไม่ใช่ยาแล้ว กินเป็นอาหาร
ส่วนอีกอย่างหนึ่งเขาเรียก "ละแพ็ด" เขาเรียก "ยำใบชา" จะเป็นใบชาหมักที่บ้านเรา เรียกว่า "เมี่ยง" แต่ว่ามีใบชาอยู่หน่อยหนึ่ง แล้วก็มีสารพัดถั่วอีกหอบหนึ่ง มีกุ้งแห้ง มีพริก ฟัง ๆ ดูก็รู้อยู่แล้วว่าไม่ใช่ แต่เขากินกันเป็นปกติ ในเมื่อเขากินกันเป็นปกติ พอถึงเวลาวัดที่เราไปเขารู้ว่าลูกศิษย์ผมบวชจากฝั่งไทย ไปเป็นเจ้าอาวาสที่นั่น มาแล้วไม่มีให้ฉันเลยไม่อยากจะมากัน เพราะของอาตมาอย่างเก่งก็เจอพวกน้ำตาล แต่วัดอื่นของเขาจะแข่งกันเลยว่า ใครจะเลี้ยงได้ดีกว่ากัน ใครจะเลี้ยงได้ยเอะกว่ากัน เพราะฉะนั้น...เย็น ๆ มันกินกันแหลกราญกระจายเลย
คราวนี้ผมไปบ่อย ๆ เขาจำหน้าผมได้ พอวัดอื่นนิมนต์แล้วผมไป ผมสงสารพระเขาไม่กล้ากินให้ผมเห็น เลยอดกันไป บางครั้งต้องแกล้งเดินไปดูงานแล้วหายไปสักชั่วโมงแล้วกลับมา ให้มันสบายใจหน่อย ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวมันฉันกันไม่ได้ มันยุ่ง คือเขาฉันกันเป็นปกติอยู่แล้ว อันนั้นจริง ๆ ไม่ได้ เพราะถั่วชัด ๆ อยู่แล้วอาหารใช่ไหม กุ้งแห้งหนักเข้าไปใหญ่ แล้วยังมีพริกมีกระเทียม
ถาม : ผลไม้ตระกูล "มะ" ฉันได้ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ได้เลย ไม้ลไม้ที่จะฉันเป็นยา ส่วนใหญ่เขาหมายเอาเป็นยาระบาย ต้องพวกประเภทมะขาม มะขามป้อม หรือว่าสมอไทย สมอพิเภกอะไรพวกนี้ ไม่ใช่ตระกูลมะฉันได้ ถ้าหากว่าคั้นน้ำ เขาไม่ให้โตเกินกำปั้นหรือว่าไม่ให้เกินผลมะตูม บรรดาพวกมหาผลอย่างเช่นว่า ส้มโอ แตงโม สัปปะรด พวกนี้ให้ละเว้นซะ ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจทำไมพระพุทธเจ้าท่านห้าม มาตอนหลังนักวิทยาศาสตร์เขาค้นคว้าทำวิจัยพบว่า บรรดามหาผลต่าง ๆ มีฮอร์โมนเพียบเลย กินเข้าไปจะอยู่ยาก คึกนะ ท่านห้ามโดยที่เราไม่รู้เหตุผลใช่ไหม พอไปรู้เข้า โอ้โฮ...ท่านรู้ลึกรู้ซึ้งถึงขนาดนั้น สองพันกว่าปีก่อนใครมีเครื่องไม้เครื่องมือขนาดนั้นบ้าง แสดงว่าท่านรู้ละเอียดจริง ๆ แรก ๆ เขาเรียก "อัฐบาน" น้ำผลไม้ ๘ อย่าง กล้วยมีเมล็ด กล้วยไม่มีเมล็ด น้ำองุ่น น้ำหว้า ในตำราเขาเรียกว่า น้ำชมพูหรือน้ำหว้า ไม่ใช่นะ บาลีเขาเรียก ชมพู หรือชำพู นั่นน่ะลูกหว้า คราวนี้คนไม่เข้าใจตีความหมายว่าชมพู่ไปเลย ไม่ใช่ น้ำหว้า น้ำกล้วยมีเมล็ด น้ำกล้วยไม่มีเมล็ด น้ำเหง้าอุบล แล้วก็น้ำมะม่วง ตอนแรกท่านอนุญาตให้แปดอย่างนี้ กล้วยมีเมล็ด กล้วยไม่มีเมล็ด เราถือว่ากล้วยแล้วกัน กล้วยมีเมล็ดก็กล้วยป่านั่นแหละ คั้นน้ำจริงนะ แล้วถ้าตามตำราเขากรองแล้วกรองอีก ประเภทเรียกว่า ต้องดิบถึงจะควร ทำให้สุกแล้วไม่ควร อะไรท่านระบุไว้ชัดเลย
ผมเคยไปอยู่กับพระธรรมยุติ เอาง่าย ๆ คือหลวงพ่อพุธ วัดป่าสาวัน ลูกศิษย์เขาคั้นน้ำส้มมา เจ้าประคุณเถอะใส่จ๋องเป็นสีเหลืองจาง ๆ นะ ถามว่า "ทำไมใสขนาดนั้น ?" เขาบอกว่า "กรองผ้า ๗ ชั้น" คือเอาแต่น้ำจริง ๆ กากสักนิดไม่มีเลย ถ้าไปเที่ยววัดที่ท่านเป็นธรรมยุติแล้วท่านรังเกียจเรา อย่าไปแสดงปฏิกิริยาเลย ประเภทวัดได้เลยว่า เราปล่อยได้เท่าไร เราวางได้เท่าไร เพราะว่าหลายที่ท่านถือเรามีราคามากกว่าเณร เขาให้นั่งก่อนเณรเท่านั้นเอง คุณจะกี่พรรษาก็แล้วแต่ไปนั่งตรงนั้น
ถาม : ................................
ตอบ : เรื่องของบัญชีพระผิดไม่ได้ เรามีราคาแค่บาทเดียว พระพม่าราคาแพงหน่อย ราคาพันกว่าบาทของเราอาบัติปาราชิกตราคา ๕ มาสกเท่ากับบาทหนึ่ง แต่ว่าเราเทียบจากมาตราโบราณ สี่เมล็ดข้าวเปลือกเป็นหนึ่งกุญชา สองกุญชาเท่ากับหนึ่งมาสก ในเมื่อสองกุญชาเท่ากับหนึ่งมาสก สี่เมล็ดข้าวเปลือกเท่ากับหนึงกุญชา ก็คือแปดเมล็ดข้าวเปลือกเท่ากับหนึ่งมาสก ห้ามาสกเท่ากับข้าวเปลือกสี่สิบเมล็ด คนไทยเราตีราคาประมาณบาทหนึ่ง พม่าไม่เอาอย่างนั้นหรอก พม่าเขาเล่นเอาไปชั่งเลย เขาเทียบเท่ากับทองสลึงหนึ่ง สะใจมาก พระพม่าศีลขาดยากจัง เทียบเท่ากับทองสลึงหนึ่ง พม่านี่ผมไปต่อเนื่องกันมาหลายปี ไปศึกษารูปแบบต่าง ๆ ของเขา เสร็จแล้วบางครั้งนั่งหัวเราะเหมือนกัน ก็มีดีมีเลวนะ ที่ดีก็ดีเหลือเกิน ไอ้ที่เลวก็เลวรับไม่ได้เลยเหมือนกัน พอ ๆ กับบ้านเรานี่แหละ ที่ท่านดีจริง ๆ ปฏิบัติก็ปฏิบัติกันหัวทิ่มหัวตำเลย
ผมไปพักอยู่ที่วัดเจ้าไว แปลเป็นไทยก็วัดหินล้อม เป็นวัดของรองเจ้าคณะรัฐเขา ถ้าหากว่าเป็นประเทศเราคงระดับรองเจ้าคณะภาค มีหลวงปู่อยู่องค์หนึ่งพักอยู่ในโบสถ์ ผมไปท่านก็ให้ผมพักอยู่ในโบสถ์ โบสถ์ท่านเป็น ๒ ชั้น หลวงปู่เห็นเรายังหนุ่ม ๆ ขึ้นบันไดได้ ท่านก็ให้ขึ้นไปอยู่ชั้นบน ท่านเองพักอยู่ชั้นล่าง ผมเข้าไปท่านก็หยุดสวดมนต์มาปฏิสันถารหน่อย แล้วท่านก็สวดมนต์ภาวนาของท่านต่อ ผมอยู่จนกระทั่งค่ำลงมา ท่านยังสวดมนต์ภาวนาของท่านอยู่อย่างนั้น ผมเข้าห้องน้ำสรงน้ำเสร็จ เดินเข้ามาก็เห็นท่านสวดมนต์ภาวนา ผมขึ้นไปทำกรรมฐานแล้วผมก็นอน ตื่นมาตีสองกว่าลงมาเข้าส้วม ท่านยังนั่งสวดมนต์ภาวนาอยู่อย่างนั้น บอกว่า โอ้โฮ...ท่านทำอะไรขนาดนี้วะ คือท่านที่่ทำเข้มท่านก็เข้มจริง ๆ เลย
|