สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนพฤษภาคม ๒๕๔๖(ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม:  ..............................
      ตอบ :  ผมไปเจอหลายต่อหลายองค์ที่มรณภาพแล้วไม่เน่า ของท่านที่ดีจริง ๆ ก็มี มีองค์หนึ่งคือ หลวงปู่อูกะวิ หลวงปู่อูกะวิอยู่วัดชุนลูนที่เมืองเมียนชาน ก่อนเข้ามัณฑะเลย์ องค์นั้นมรณภาพมาสี่สิบกว่าเกือบห้าสิบปี ดูเนื้อตัวอย่างกับหล่อด้วยทองแดง แล้วเชื่อไหมว่าท่านไม่ถึง ๑๐ พรรษา ตอนแรกท่านบวชเป็นเณรในลักษณะที่เณรใหญ่บ้านเราเรียก เณรโคร่ง แล้วเมียให้ลูกมาตามให้สึกไปช่วยทำมาหากินต่อ ท่านก็สึกไปรำคาญบ้านท่านก็มาบวชใหม่ เขาตามก็สึกไป มาตอนหลังท่านเลยบวชพระ รู้สึกว่าจะได้แค่สองพรรษา บอกทางบ้านว่าคราวนี้ไม่กลับแล้วนะ ทางบ้านก็แปลกใจ ท่านอยู่อีกไม่นานท่านก็มรณภาพ แล้วกลายเป็นว่าศพไม่เน่า อย่างกับทองแดงเลย
              อีกองค์หนึ่งนั้นชื่อหลวงปู่สุริยะ มรณภาพตอนอายุ ๕๕ ปี คือท่านสร้างวัดอะเลงงาชินท์ ที่ย่างกุ้ง ศิลปะผสมผสานระหว่างพม่ากับอินเดีย สวยงามมากจริง ๆ เลย ท่านบอกท่านได้นิมิต ท่านทำพอทำเสร็จแปลว่างานหมด ท่านก็มรณภาพทั้งหนุ่ม ๆ นี่แหละ ๕๕ ปี อายุนะไม่ใช่พรรษา แล้วอยู่มาจนป่านนี้ไม่เน่า
              อีกองค์หนึ่งเพิ่งมรณภาพเมื่อสามสี่ปีก่อน ผมไปถึงท่านมรณภาพใหม่ ๆ พอดี องค์นี้เป็นคนไทยด้วย ชื่อหลวงปู่ลักขณะ อยู่ที่บ้านใหญ่ชาวสยาม เมืองหงสาวดีบ้านนี้ภาษาพม่าแปลว่า บ้านใหญ่ชาวสยาม ผมเข้าไปดูทุกอย่างลักษณะเหมือนกับบ้านไทยโบราณต่างจังหวัด องค์นี้ก่อนมรณภาพอยู่ ๆ ท่านไปปรากฏตัวในร้านถ่ายรูปเขา ไปตั้งแต่เช้าก่อนเจ้าของร้านเปิดร้าน เข้าไปได้อย่างไรก็ไม่รู้...! เจ้าของร้านตื่นงัวเงียขึ้นมาเจอ อ้าว...หลวงปู่มาได้อย่างไร ? ท่านบอกว่า "วันนั้น เดือนนั้น ปีนั้น เวลานั้น ข้าจะตาย ใกล้เข้ามาแล้วนะ แกไปจัดที่เตรียมไว้ ข้าจะให้ถ่ายรูป ถ้าข้าตายไปจริง ๆ จะได้มีรูปไว้กราบไหว้กันบ้าง" ช่างก็งง ไปทำตามความต้องการของท่าน ก็ถ่ายรูปให้อะไรให้ หลังจากนั้นไม่นานท่านก็มรณภาพตรงตามเวลาที่ท่านบอกจริง ๆ เขาเก็บเอาไว้ปีหนึ่งตามธรรมเนียม แล้วจะเผาเปิดออกมาไม่เน่า องค์นี้ผมเดินไปกว่าจะถึงอ่วมเลย เพราะว่าจะออกจากถนนลาดยางเดินลัดทุ่งไป ผมว่าน่าจะเกิน ๓ ไมล์ พม่าเขานับเป็นไมล์ ไมล์หนึ่งประมาณหนึ่งกิโลเมตรครึ่งกว่า คงร่วม ๆ ๕ กิโลเมตร เดินลุยทุ่งไป
      ถาม :  เคยได้ยินมาว่า "พระอภิญญานอนประมาณ ๑๕ นาทีก็ได้ ?"
      ตอบ :  แล้วแต่ ถ้าหากจิตที่ดิ่งลึกจริง ๆ พักน้อยก็เหมือนได้พักมาก
      ถาม :  ...............................
      ตอบ :  ผมไปมัณฑะเลย์พักอยู่วัดชุยยีเซา ของหลวงปู่ชฏิละ หลวงปู่ท่านจบพระไตรปิฎก คำว่า "จบพระไตรปิฎก" ของทางฝั่งโน้นคือ ท่องพระไตรปิฎกได้ทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ท่องปากเปล่า วัดท่านเป็นสำนักเรียน ท่านจบพระไตรปิฎกซึ่งจะมีจบไม่กี่คนเท่านั้นเอง แล้วเป็นครูบาอาจารย์ใหญ่ลูกศิษย์ลูกหาเต็มบ้านเต็มเมือง พอเราไปท่านก็ซักถาม รู้ว่าวัดเราอยู่ในป่า ท่านถามว่า "การบิณฑบาตขบฉันเป็นอย่างไร ?" บอกว่า "เหลือเฟือเลยครับหลวงปู่ ประเภทเดินไม่มากเท่าไร ก็เหลือแล้วเหลืออีก" ท่านก็ถอนหายใจเฮือก "คุณเป็นคนไทยบุญดีนะ อยู่ในป่าแล้วยังเหลือกิน เหลือใช้ ผมเองเป็นครูบาอาจารย์ใหญ่ขนาดนี้ ลูกศิษย์ลูกหาเต็มบ้านเต็มเมือง บิณฑบาตพอฉันแต่มื้อเช้า กลางวันต้องให้ลูกศิษย์หุงให้" ขนาดอยู่ในมัณฑะเลย์นะ เมืองที่ถือว่าเจริญอยู่ในอันดับต้น ๆ เลย ถ้าเปรียบไปแล้วถ้าย่างกุ้งเป็นกรุงเทพฯ มัณฑะเลย์ราว ๆ เชียงใหม่อย่างนี้ ขนาดนั้นกลางวันยังต้องหุงกินเลย
      ถาม :  ญาติโยมไม่ค่อยใส่บาตรหรือครับ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่ไม่ค่อยใส่ ก็ใส่อยู่ แต่คราวนี้แต่ละสำนักเจ้าประคุณเอ้ย คุณไม่ได้ไปดู อย่างไม่มี ๆ พระหลายร้อย สำนักใหญ่ ๆ อย่างมหาวิทยาลัยสงฆ์มัณฑะเลย์สี่พันกว่าองค์ มหากันตะยงแปดเก้าร้อย ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเขาบวชเยอะ ถ้าบวชแล้วรัฐบาลไม่เกณฑ์ไปเป็นทหาร ไม่อยากเป็นทหารเขาก็หนีไปบวชกัน คราวนี้ของเขาถ้าเป็นสำนักเขาจะบวช บวชแล้วเรียนจริง ๆ ของเขาจะมีธรรมจริยะ ลักษณะเหมือนกับเรียนบาลีของเรา จบแค่เปรียญแปดเทียบเท่าเปรียญเก้าของเรา แล้วก็มีพุทธศาสตร์บัณฑิต และที่แน่ที่สุดคือ พวกที่จบพระไตรปิฎก ท่องกันหูดับตับไหม เราตอนแรกวัดตูพระแค่ ๒๐ องค์จะตีกันตาย เขาอยู่กันเป็นพัน ๆ เขาอยู่กันอย่างไร พอไปดูเข้าจริง ๆ อย่างนั้นแหละ ท่องหนังสือจนไม่มีเวลาทะเลาะกับใคร คุณลองดูสิแค่วัดปากน้ำน่ะ ไม่ขนาดเขานะ หัวทิ่มอยู่กับหนังสือจนไม่มีเวลาสนใจใคร คนเดินเหยียบตีนก็เหยียบเถอะ อ่านหนังสืออยู่นั่นแหละ (หัวเราะ)
              ที่ถ้ำอูนุ วัดกะบาเอ หลวงพ่อสมเด็จวัดสระเกศเคยไปอยู่ตั้ง ๖ เดือน ตอนปี ๒๕๐๐ สังคายนาพระไตรปิฎกช่วงกึ่งพุทธกาล หลวงพ่อสมเด็จท่านบอกท่านอยู่จนเบื่อเลย ๖ เดือนที่นั่น เขาจะมีสอบผู้ทรงพระไตรปิฎกทุปี เราไปดูทุกปีแล้วก็ตกยกชั้นกันทุกปี เขาจะมีนักเรียนที่เข้าสอบ แล้วก็อาจารย์ที่เป็นพระ ๑ อาจารย์ที่เป็นฆราวาสที่เคยได้เปรียญสูง ๆ ๒ สรุปแล้วว่าอาจารย์ ๓ คน คุมนักเรียน ๑ คน จะเป็นประเภทที่เรียกว่า กินนอนกันอยู่ตรงนั้นเลย ถ้าจะไปส้วมอาจารย์คุมไป เสร็จแล้วก็กลับมา คุณว่าไปเรื่่อย ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เขาให้เวลาเดือนหนึ่ง ติดตรงไหนอนุญาตให้นอนนึกได้ เหนื่อยขึ้นมาให้หลับตรงนั้นเลย จะกินจะดื่มอะไร ถึงเวลาโยมเอามาประเคน ว่ากันไปขนาดนั้น ผมไปดู แหม...ตกยกชั้นทุกปี ผมเองเซ็งแทนเหมือนกัน ได้ยินว่าระยะหลังเขาจะผ่อนให้ เพราะว่าเขาจะให้เก็บได้ครั้งละปิฎก หมายความว่า ถ้าเป็นอภิธรรมก็ ๔๒,๐๐๐ แล้วก็จบมาไว้ก่อน แล้วก็ลวะว่าได้แล้ว ก็ไปลุยที่เหลือ ถ้าเป็นพระสูตรพระธรรมวินัยก็ ๒๑,๐๐๐ แล้วก็ละเอาไว้
      ถาม :  ...................................
      ตอบ :  เรื่่องอาหารพระ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า อาหารที่เป็นเนื้อสัตว์มี ๒ อย่างคือ
              ๑. ปะวัตตะมังสะ อาหารที่เขาขายอยู่ทั่วไปอยู่แล้ว เราจะสั่งหรือไม่สั่งเขาก็ฆ่าขายกันอยู่ อันนั้นสั่งมากินได้ไม่เป็นไร ซื้อได้อะไรได้ อย่างเช่น หมูที่เขาชำแหละอยู่ ไก่ที่เขาฆ่าขายอยู่
              ๒. อุทิสสะมังสะ เขาเจาะจงให้เฉพาะคน ถ้าเป็นอุทิสสะมังสะเจาะจงให้นี่ เรา"เห็นว่า เขาฆ่าเพื่อเรา รู้ว่าเขาฆ่าเพื่อเรา รังเกียจว่าเขาฆ่าเพื่อเรา" เรากินไม่ได้เลย กินนี่เขาปรับทุกคำที่กลืน อันนี้ของพระนะ ของโยมเอาแค่ว่าเราไม่ได้สั่งก็พอ
              ตัวอย่างต้องหลวงพี่วิชชา หลวงพี่วิชชา ตอนนี้คงเป็นหลวงตาแก่ ๆ ไปแล้วล่ะ สมัยโน้นท่านอยู่วัดศรีมณีวรรณ เป็นพระอภิญญา มีลูกศิษย์ลูกหาเยอะ ท่านเลื่อมใสหลวงพ่อ เพราะว่าพระระดับนั้นก็ต้องรู้ว่าหลวงพ่อเป็นอย่างไร ไปร่วมงานกันบ่อย คราวนั้นเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ด้วยกัน ก็ใกล้เพล เฮ้ย...แวะแม่ลาปลาเผา แต่ตอนนั้นแม่ลาปลาเผางานยังน้อยอยู่ ก็ยังไม่ได้เผาปลารอแล้วมาอุ่นทีหลัง เหมือนสมัยนี้ ปลาจะเป็น ๆ เลย พอเข้าไปในร้าน เจ้าของร้านเข้ามาถาม "จะรับอะไรดีครับ ?" ตอบว่า "อะไรที่อร่อย ๆ ก็เอามาเถอะ" เขาก็เข้าไปหลังร้าน เสียงทุบป้าบ ๆ ดิ้นพลาด ๆ เลย ได้ยินชัดเลย หลวงพี่วิชชาหน้าเหลือ ๒ นิ้วเลย (หัวเราะ) ตกลงวันนั้นได้นั่งดูปลาเผา ไม่มีใครแตะเลยสักคน (หัวเราะ) ยังดียังมีอย่างอื่นด้วย ไม่อย่างนั้นอดตาย นั่นน่ะรู้เลยว่าเขาฆ่าเพื่อเรา ถึงไม่เห็นก็ได้ยินเต็มสองหู
      ถาม :  ถ้าพระไม่ฉันนี่ผิดหรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  เขาปรับตอนฉัน
      ถาม :  ไม่ได้ฉันก็ไม่เป็นไรหรือคะ ?
      ตอบ :  ไม่เป็นไรจ้ะ นั่นจริง ๆ ก็ไม่ได้สั่ง ใครจะไปรู้ว่ามันเป็น ๆ ก็บอกเขาว่า "มีอะไรอร่อย ๆ ก็เอามา" แหม...ของเขาก็อุตส่าห์ขึ้นชื่อแม่ลาปลาเผา เขาก็ต้องเอาเมนูเด็ดของเขาออกมา ที่ไหนได้มันไปทุบเลย เสียงคงจะตีด้วยไม้ เสียงดังป้าบ ดิ้นพลาด ๆ แต่ว่าสมัยหลังใช้วิธีเผารอเอาไว้แล้ วพอถึงเวลาเอาเข้าไมโครเวฟแล้วก็เอาออกมา อย่างนี้เรียบร้อยไปนานแล้ว
              มีเหมือนกันแหละประเภทให้นัย ประเภทที่เรียกว่าให้แม่ชีเดินจ่ายตลาด แม่ค้าก็ถาม "แม่ชีไม่ซื้อปลาหรือคะ ?" แม่ชีบอกว่า "ยังไม่ตายนี่" พอกลับมาตายเรียบร้อยแล้ว อย่างนี้ให้นัยเขา มีโทษเหมือนกันนะ
      ถาม :  อย่างเช่นเราสั่งกับข้าว เช่น ผัดหอยลายอย่างนี้ คนทำเขาก็ไปทำมาให้ เขาทำมาขายแล้วอย่างนี้ คนสั่งกับคนทำโดนด้วยกันไหมคะ ?
      ตอบ :  คนทำโดนแน่ ๆ อยู่แล้วล่ะ เพราะถ้าหากว่าเป็นอยู่ คนทำต้องทำให้มันตาย คราวนี้คนสั่งถ้าตั้งใจสั่งก็โดนด้วยกัน อย่างของพระเขามี "สาณัตถิกะ" โดนอาบัติศีลขาดเพราะสั่งเขาทำ เขาปรับนะ ไม่ใช่สั่งคนอื่นทำแล้วเราจะปลอดภัย โดนด้วยกันนะ จะมี "สาณัตถิกะ" ศีลขาดเพราะสั่งคนอื่นเขาทำ "อนาณัตถิกะ ทำเองก็ขาด (หัวเราะ) ของพระเขาปรับละเอียด ไม่มีซอกไม่มีมุมให้หลบเลย สมัยหนึ่งเขาว่า "บาปคนทำ กรรมคนกิน" ความจริงโดนทั้งคู่แหละ (หัวเราะ)
      ถาม :  อย่างนี้ต้องแผ่เมตตาให้เขาหรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  จริง ๆ คือว่า ถ้าสามารถทำบุญให้เขาได้ก็ดี อย่างน้อย ๆ ถ้าเขายังจองเวรอยู่ ก็เอาเป็นว่าได้รับความดีไปเรื่อย ๆ จะได้ใจอ่อนบ้าง
      ถาม :  วันนั้นไปปล่ยอปลากับเขาที่ตลาดพงษ์เพชร ก็ไปเอาปลาดุกที่เราจะเอาไปปล่อย เขาก็กำลังเลือกให้เราอยู่ แล้วเขาก็กำลังปิ้งปลาดุกขายด้วยแล้วก็มีคนมาบอก "นี่ปิ้งแล้วก็มี" ก็บอก "ไม่เอา ๆ เอาเป็น ๆ สิ" เราหาเป็น ๆ ไปปล่อย นี่เขาเอาเป็น ๆ ไปย่าง...!
      ตอบ :  พูดง่าย ๆ คือว่า ทำกรรมเสียจนชิน ชินเสียจนไม่รู้ เขาเรียกว่า "อาจิณกรรม" อาจิณกรรมที่ทำจนชิน อย่างเรื่องฆ่าสัตว์นี่ลงอเวจีมหานรกแน่อนเลย อเวจีมหาจริง ๆ ลงยาก แต่แหม...มันลงกันจัง
      ถาม :  ถ้าเราทำเป็นอาชีพล่ะคะ ?
      ตอบ :  นั่นแหละ พระพุทธเจ้าท่านกำหนดไว้ว่า "มิจฉาวณิชชา"อาชีพในทางไม่ชอบมี ๕ อย่าง ๑. ขายสุรา ๒. ขายยาพิษ ๓. ขายอาวุธ ๔. ขายมนุษย์ ๕. ขายสัตว์ที่ยังมีชีวิต ห้ามเด็ดขาด...! ท่านบอกว่า "ผู้ที่เป็นพุทธมามะกะ มิสมควรจะกระทำ"คือว่าพวกสุรายาพิษ จริง ๆ เราไม่ได้ไปบังคับให้ใครเขากินหรอก แต่ว่าถ้าหากว่าตัดกำลังใจไม่ได้ จะพลอยไปยินดีกับเขา อย่างเช่น ขายได้มากก็ไปดีใจอะไรอย่างนี้ เท่ากับไปโมทนาบาปกับเขา
      ถาม :  เมื่อก่อนก็ขายเหล้า ขายอาหารก็ขายเหล้าอยู่แล้วค่ะ
      ตอบ :  ไม่เป็นไรจ้ะ ที่แล้วมาก็ให้แล้วไป ตั้งใจทำความดีใหม่ ให้ใจเกาะดีให้ชินไว้
      ถาม :  .............................
      ตอบ :  ต้องดูพวกฮินดู แขกฮินดูกินแต่ถั่วแต่งาแต่นมแต่เนย แต่ละคนตัวใหญ่กว่าฝรั่งอีก ไม่เห็นเขาต้องไปกินเนื้อสัตว์เลย แล้วพวกนั้นเขาถืออย่างนั้นตามศาสนา กินแป้ง กินถั่ว กินงา กินเนย กินนม เวลาลงปักษ์ใต้ไปจะมีอยู่หลายครอบครัวเหมือนกัน
              อย่างที่โกลกก็ของนายห้างอำนาจ ถ้าไปเขาจะให้ไปนอนบ้านเขาคืนหนึ่ง โอ้โฮ...บ้านเขาทำเป็นพิพิธภัณฑ์ของเก่า พวกพระพุทธรูป เทวรูป บานเบิกเลย พูดง่าย ๆ ว่า ถ้าขโมยเข้าบ้านได้บ้านเดียวก็รวยเลย บอกเขาว่า "นายห้างระวังเอาไว้นะ อย่างนี้ไปเปิดให้คนอื่นเขาเห็นไม่ได้หรอก" นายห้างว่า "ให้แต่อาจารย์ดูแหละครับ" (หัวเราะ) นั่นแหละ ถ้าอยู่กับเขาก็ต้องกินอาหารฮินดูกับเขา โดยเฉพาะชาใส่นม ใส่เนย เรานี่ประเภทโดนไม่ได้ แพ้พวกนี้อยู่ แต่เขาเทมาก็ต้องหลับหูหลับตากรอกเข้าไป
              ที่สงขลาก็มีบ้านคุณสุภิตา อันนี้นามสกุล "คานธี" ด้วย นั่นแหละร้านขายผ้าสามสี่คูหาใหญ่ ๆ ถึงเวลานิมนต์ไปแต่ละครั้งไม่อยากเหยียบเข้าไป คนเขาศรัทธาจนเกินไป คือคุณสุภิตานี่ อยู่ ๆ เขาได้ทิพจักขุญาณขึ้นมาเอง แล้วมีอยู่วันหนึ่งเขากำลังไหว้พระอยู่ เขาเห็นลิงตัวหนึ่งอยู่ตรงหน้าหิ้งพระ หกคะเมนตีลังกาทำท่าต่อมิอะไรให้เขาดู เขาก็แปลกใจนิมิตนี้แแปลว่าอะไร ? ก็ตั้งใจถามพระ พระบอกว่า ไให้ตั้งใจดูดี ๆ สิ ใช่ลิงหรือเปล่า ?" ดูไปดูมากลายเป็นพระ เขาก็เที่ยวไปถามว่า "พระลักษณะอย่างนั้น ๆ มีไหม ?" พอดีไปเจอลูกศิษย์หลวงพ่อ เขาบอกว่า "มี เขาเอารูปให้ดู" เขายืนยันว่าองค์นั้นแหละ เสร็จแล้วเขาก็ขึ้นไปกราบหลวงพ่อ คราวนี้เขาเป็นคนช่างถาม เขาถามปัญหาเสียจนพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า "ต่อไปนี้ให้ถามได้วันละข้อเดียว" โอ้โฮ...ถามประเภทน้ำไหลไฟดับจริง ๆ เป็นคนขี้สงสัยอะไรด้วย เสร็จแล้วแกยังมีข้อสงสัยอีก "แล้วถ้าหากสงสัยเกินข้อหนึ่งจะทำอย่างไร ?" พระท่านบอกว่า "ให้ไปถามพระเล็ก" เวรรกรรมเลยตู เขาก็เที่ยวไปถามหาว่าลูกศิษย์หลวงพ่อมีชื่อเล็กไหม ? เขาก็บอกว่า "เป็นพระมีอยู่องค์เดียว" เราเลยซวยไปอีก
      ถาม :  ..........................
      ตอบ :  อยู่ยันสงขลาโน่น หน้าตาก็ไม่เคยเจอกันนะ เจอครั้งแรกดีใจ มือไม้สั่นไปหมด เขาบอกว่า "ไม่คิดจะมีตัวจริง ๆ" พอถามพระแล้ว พระท่านบอกให้ไปถามกับพระเล็ก แกก็ไปถามลูกศิษย์หลวงพ่อทางด้านโน้นที่แกรู้จัก เขาเก่งจริง ๆ แต่เขาช่างถามมากเลย ประเภทถ้านั่งอยู่กับเขานี่ ฟังอย่างเดียวก็เหนื่อยแล้ว
      ถาม :  แสดงว่าญาณเขาดี ?
      ตอบ :  ใช่ คือเขาได้เอง แล้วการทดสอบหลายต่อหลายอย่างในลักษณะทดสอบกำลังใจ เขาผ่านหมด แบบเขาดีโดยประเภทบุญเก่าจริง ๆ พวก"ปุพเพกตปุญญตา" บุญเก่าดีมาแต่ปางบรรพ์ มาชาตินี้อยู่ ๆ บุญล้น ไม่เคยฝึกฝนอะไร อยู่ ๆ ได้ขึ้นมาเอง คราวนี้พอเป็นอย่างนั้นแล้ว พอไปแต่ละครั้งรู้สึกไม่ค่อยดี เขายกเราเสียนั่งไม่ลง มันลอยขึ้นไปแล้ว ของเราอยากไปประเภทคนไม่ค่อยรู้จัก ไปไหนย่องไปเดินข้างถนนก็ได้ใช่ไหม เดี๋ยวนี้ไม่ไหวแล้ว หลบไปไหนก็ไม่ได้ วันก่อนเข้ากรุงเทพฯ มา แวะลงซื้อหนังสือพิมพ์ฉบับเดียวเอง คนตะโกนเรียก บอก "เออ...ไม่มีเวลาคุยด้วย ไปแล้ว" (หัวเราะ) อย่างไปพม่าชอบไป ไแล้วเขาไม่รู้จักเราอย่างไร แล้วที่สนุกที่สุดคือคนต้องการเจอเราใจจะขาด แต่เขาไม่รู้จักเรา แต่เราอยู่ใกล้ ๆ เขานั่นแหละ
              มีหลวงปู่วัดคะแลบ้านน้อย อยากเจอเป็นบ้าเป็นหลัง "ครูบาเมืองไทยเมื่อไรจะมา ครูบาน้อยบอกด้วยนะ" ท่านบอกเจ้าอาวาสวัดหนองบัว "อยากจะให้ท่านช่วยสร้างศาลาสักหลังหนึ่ง" เราก็ไปพักอยู่ที่นั่นแหละ ห้องเดียวกับหลวงปู่นั่นแหละ ก็บอกครูบาน้อยว่า "ถ้าคุณฉลาด ก็อย่าบอกว่าผมเป็นใคร" ครูบาน้อยเขาบอกว่า "เป็นเพื่อนพระมาจากเมืองไทย" คราวนี้เพื่อนพระจากเมืองไทย ถึงเวลาพระเขานอนตามลำดับอาวุโส ของเราก็เผ่นไปอยู่บนเตียงโน่น หลวงปู่แกก็ทะแม่ง ๆ แต่เราแกล้งหลับ ไม่ให้เขาถามหรอก พอวันรุ่งขึ้นรีบเผ่น บอกับครูบาน้อยว่า "ถ้าหลวงปู่รู้เมือ่ไร ถ้าแกไม่โกรธคุณหัวฟัดหัวเหวี่ยง แกก็คงเลิกคบคุณไปเลย" อยากเจอตัวใจจะขาด ไปนอนอยู่วัดเขาเป็นวันเป็นคืนแต่ไม่ได้เจอ
              เมื่อตอนงานฉลองวัดเจอภรรยาของโชเฟอร์ เขาขับรถอยู่สายสองแคว-มุด่ง รายนี้เขาก็ศรัทธานักศรัทธาหนา "อาจารย์มาเมื่อไรบอกนะ จะได้พาลูกพาเมียมากราบ" เราเจอหน้าลูกเมียเขาแล้วก็หัวเราะ บอกเขาว่า "รู้ไหม ว่านั่งรถแฟนคุณมาตั้งหลายครั้งแล้ว คุยกันมาเยอะต่อเยอะแล้วด้วย แต่เขาไม่รู้จักเราหรอก" เล่นเอาเมียเขาหัวเราะกลิ้งเลย เขาบอก "นี่เขาใฝ่ฝันอยากเจออาจารย์มากเลย" บอก "ใช่ เจอหลายครั้งแล้ว แต่มันไม่รู้จักฉันหรอก" ปัจจุบันนี้ที่วัดก็บ่อย เมื่ออาทิตย์ก่อนก็เหมือนกัน ไปถึงจอดรถข้างหน้าเรา เราก็กำลังเช็ดรถอยู่ มาถึงก็ถาม "หลวงพี่ครับ หลวงพ่ออยู่ไหมครับ ?" เราตีหน้าไม่ถูกเลย เลยบอกว่า "รู้จักกุฏิท่านไหมล่ะ ?" บอก "ไม่รู้จักครับ" ถ้าอย่างนั้นอยู่ก็ได้วะ ถามว่า "จะมาทำอะไร ?" เขาบอก "จะมาถวายสังฆทานครับ" พอถวายเสร็จ แจกวัตถุมงคลให้เสร็จ บอกเขาว่า "กลับได้แล้วนะ" วันนี้อารมณ์ดี ถ้าอารมณ์ไม่ดี คุณได้ขับรถหาหลวงพ่อทั้งวัดเลย ให้มันเดินไปหาทีละกุฏิ เขาก็ยังสงสัยมาก เขาก็ไปหาอาจารย์สมพงษ์เจ้าอาวาส อาจารย์สมพงษ์ก็ไม่อยู่ ดันไปเจอหลวงตากอล์ฟเข้าพอดี ไปถามหลวงพี่กอล์ฟว่า "อาจารย์สมพงษ์ไม่อยู่หรือครับ ?" ท่านบอก "ไม่อยู่หรอก ออกไปธุระข้างนอก" แล้วองค์เล็ก ๆ ที่เช็ดรถอยู่นั่นน่ะ ใครครับ ?" อ๋อ...อาจารย์ของอาจารย์สมพงษ์อีกที (หัวเราะ)
              ส่วนอีกรายหนึ่งอย่างไรรู้ไหม รายนั้นมาด้วยศรัทธาจริง ๆ ก่อนเข้าพรรษา แกจะไปถวายเทียนพรรษาทุกวัดเลย พูดง่าย ๆ คือว่า อยู่ในบริเวณนั้นแกจะถวายหมด ไปถึงเรากำลังจัดพิธีพุทธาภิเษกวันอาสาฬบูชา เตรียมของในโบสถ์ แกเดินหอบเทียนพรรษา ดอกไม้ ธูปเทียน เดินมาถึง "นิมนต์ท่านช่วยรับเทียนพรรษาหน่อยครับ" บอกว่า "ให้ไปหาเจ้าอาวาสสิ" เขาว่า "ผมไม่รบกวนเจ้าอาวาสหรอกครับ นิมนต์ท่านนี่แหละ" (หัวเราะ) พวกพระหัวเราะกันใหญ่ บอกว่า "มันไม่รบกวนเจ้าอาวาสหรอก มันล่ออาจารย์เจ้าอาวาสเลย" (หัวเราะ) คือส่วนใหญ่พวกนี้ดีอยู่อย่าง คือว่าของเราเวลาไปไหนแล้วคล้าย ๆ กับว่าวางมาดไม่เป็น ในเมื่อวางมาดไม่เป็น คนเขาจะไม่เชื่อหรอก ประเภทมองแล้วมองอีก ถามแล้วถามอีก คนเขาถึงจะเชื่อ
              สมัยก่อนเป็นพวกหน่อยสอดแนมกองโจร ปลอมตัวบ่อย พวกนี้เขาเรียกว่า "กองอาฏทมาท" มาจากฝ่ายมอญเขา สมัยก่อนเขามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารกษัตริย์ไทย ครวนี้เขาคล่องตัวแผ่นดินพม่ามากกว่านี่ พวกนี้เขาจะเป็นคนนำ พวกเราไปสอดแนมหาข่าว หาเส้นทางการศึกของเขา เขาเตรียมเสบียงอย่างไร ? เขายกกองทัพมาเมื่อไร ? มีทีท่าจะเข้าตีเมื่อไร ? อะไรอย่างนี้ ปลอมตัวบ่อย ในเมื่อปลอมตัวบ่อยเลยกลืนกับรอบข้างเสีย พูดง่าย ๆ ว่าไปยืนกลางกลุ่มพระนี่ เขาหาเราไม่เจอหรอก เขาจะต้องไปหาคนอ้วน ๆ ใหญ่ ๆ อย่างนั้น พอไปพม่าพวกทหารไม่เคยสงสัยเราหรอก เวลาไปด้วยกันจะไปถามคนอื่นอยู่เรื่อย ไม่เคยถามเราหรอก เราเหมือนอย่างกับพระลูกวัด "ท่านนาวิน" เขาสรุปว่า "อาจารย์ไม่มีมาด เลยไปง่ายหน่อย" ถ้าขืนวางมาดเสร็จเขาแน่ ไอ้ตัวเล็กมันเรียก "คุณหลวง" ใช่ไหม จะเตะมันหลายครั้งแล้ว เขาถามว่า "รับราชการอะไร ?" บอกว่า "เป็นหลวงเพชรอินทรา ปลัดกรมตำรวจวัง สังกัดเจ้าพระยาพิทักษ์ภูบาล" (หัวเราะ) ชื่อแแปลก ๆ ไม่เคยได้ยิน ว่าไปเรื่อยเปื่อย ถือเป็นนิทานหลอกเด็ก
              สมัยก่อนเขาจะมีพวก เวียง วัง คลัง นา นั่นแหละ พวกนาก็ "เจ้าพระยาเกษตราภิบาล" พวกคลังนี่ก็พวก "เจ้าพระยาโกษาธิดี" ขุนวังก็ "เจ้าพระยาพิทักษ์ภูบาล" แล้วขุนเวียงก็คือ "ปลัดกระทรวงกลาโหม คือ เจ้าพระยาพระกลาโหม" เขาจะมีผู้ใหญ่ที่เป็นหลักของแผ่นดิน เขาถึงได้เรียกว่า "จตุสดมภ์" จุดรวม ๔ อย่าง เล่าให้เด็ก ๆ เขาฟัง ลูกสาวเขาถามว่า "เขาเคยเป็นอะไรกับหลวงพ่อ ?" ก็เล่าให้เขาฟังว่า "เคยเป็นลูก" เขาถามว่า "สมัยไหน ?" บอกเขาว่า "สมัยตอนที่รับราชการอยู่ในวัง" ก็เล่าให้เขาฟังไปเรื่อย ๆ นิทานหลอกเด็ก ฟังไปก็เท่านั้นแหละ