ถาม: เรื่องของ "หลวงพี่ต้า" ทำไมถึงหนีไปอยู่กับหลวงปู่ละมัย ?
ตอบ : คือเตือนท่าน บอกว่า "สอนคนเกี่ยวกับเรื่องมรรคผล แล้วเราเอาเรื่องอื่นเข้าไปแทรก เรื่องการต่อสู้ก็ดี อะไรก็ดี ก็จริงหรอกที่จะต้องใช้ใจมากกว่า พอไปถึงตอนท้าย ๆ อย่างไรก็เลี้ยวเข้ามาได้ แต่กลายเป็นว่าทำให้เขาช้า ถ้าหากว่าคนมัวแต่ฝึกทางร่างกายอยู่จนตายเสียก่อน เรื่องทางใจไม่ได้ปฏิบัติเลย เขาก็ขาดทุน" ก็บอกเขาว่า "วิชาการทุกอย่างน่ะดี พระพุทธเจ้าท่านบอกแล้วว่า ท่านรู้เท่ากับใบไม้ทั้งป่า แต่ท่านสอนให้กำมือเดียว กำมือเดียวที่ท่านสอน คือประโยชน์สุขในปัจจุบัน และประโยชน์สุขในโลกหน้า แล้วของเราเอง เราตั้งใจว่าเราจะไปนิพพานกัน แล้วเรามัวแต่ไปสอนโน่นสอนนี่ให้คนไปสนุกอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งลืมคำว่านิพพานไปแล้ว มันถูกไหม ?" เขาเลยน้อยใจ บอกว่า "หลวงพี่คอยดูผมไปก็แล้วกัน" แล้วแกก็หายไปเลย จนป่านนี้ไม่ได้ข่าวไม่ได้เจอกันเลย คนเคยเห็นกันทุกเดือน อยู่ ๆ หายเงียบไปก็เป็นห่วง
ถาม : .....................
ตอบ : ตัวอย่างของพระที่บวชใหม่ ๆ แล้วอยากทำงาน พระบวชใหม่ ๆ น่ะ ต้องสั่งสมกำลัง คือการปฏิบัติของตนจนกระทั่งมั่นคงพอ แล้วค่อยไปทำงาน ถ้ามั่นคงไม่พอ เวลาไปรับงานเข้ามาก ๆ เวลาปฏิบัติไม่มี กำลังใจะตก แล้วกำลังใจตกเมื่อไร รัก โลภ โกรธ หลง จะกินเอา แล้วจะอยู่ไม่ได้ ประเภทใหม่ ๆ เลยก็ออกไปลุยงาน นี่ยังห่วงท่านแสงอยู่เลย เพิ่งจะบวชใหม่ ๆ ก็ไปลุยงานอยู่ที่นั่น แต่คราวนี้ท่านค่อนข้างจะเกรง ๆ เราอยู่ มีอะไรท่านไม่บอกหรอก ท่านงุบงิบ ๆ ทำกันเอง เดือนหนึ่งเจอหน้ากันตอนไปปาฏิโมกข์แค่นั้นเอง ท่านจึงไม่กลัวไปแอบทำเอาเอง
ถาม : แล้วท่านไปองค์เดียวหรือคะ ?
ตอบ : อยู่ที่ถ้ำทะลุจ้ะ เห็นว่าอยู่กับท่านสำรวย ท่านสำรวยให้ท่านอยู่วัดท่าขนุน ท่านสำรวยบอกว่า "ท่านชอบเงียบ ๆ ท่านอาจารย์มีที่ ๆ เป็นเป็นเขาไหม ?" บอกว่า "ถ้ามีก็ที่ถ้ำทะลุนั่นแหละ" ปรากฏว่าไปอยู่สักอาทิตย์หนึ่ง ได้เวลาปกฏิโมกข์ ท่านแสงมาก็บ่นเช้ายันเย็นเลย บอกว่า "มันก็บอกกับผมมันต้องการเงียบ ๆ แต่มันชอบชวนผมคุยตั้งครึ่งคืน ผมก็เลยพลอยไม่ได้ภาวนาไปด้วย" (หัวเราะ) เป็นเสียอย่างนั้น
ถาม : ยังหนุ่มไหมคะท่าน ?
ตอบ : ยังหนุ่มอยู่ คงไม่เกินสามสิบ หรือสามสิบเศษ ๆ นิดหน่อย ท่านแสงนั่นสี่สิบกว่า คืออย่างของพวกเราฝึกมาจนชินแล้วอย่างไร ชีวิตฆราวาสก็เป็นทหารอยู่ป่าอยู่ดง ของท่านแสงก็เหมือนกัน อยู่คนเดียวเรื่องเล็ก แต่คราวนี้ดันไปแตะผู้มีอิทธิพลเาน่ะสิ เขาทำไม้แต่เป็นไม้ในเขตวัด ก็เตือนท่านแสงแล้วว่า อย่าไปประกาศตัวเป็นศัตรูกับเขา เพราะส่วนใหญ่แล้วพวกนี้จะมีเส้นสาย รู้สึกอันนี้จะเป็นลูกชายส.จ. ท่านแสงเขาไม่ฟังเสียง ประเภทวิ่งสู้ฟัด แจ้งสารพัดทั้งอุทยาน ทั้งป่าไม้ ทั้งอำเภอ ให้ยุ่งไปหมด
ตอนนี้วัดถ้ำทะลุโดนตัดน้ำ โดนตัดไฟเกลี้ยงเลย ยังดีว่าหน้านี้หน้าฝน น้ำฝนลงแท็งก์ยังมีน้ำใช้อยู่ ไฟฟ้าไม่มียังจุดเทียนได้ แต่ก็เป็นห่วงท่านเหมือนกันนะ เพียงแต่ว่าท่านเองท่านยังไหวอยู่ ท่านก็ไม่บอกเราหรอก เพราะเตือนอยู่แล้วว่าให้อยู่วัดท่าขนุนไปก่อน อยู่ร่วมกับคนหมู่มากให้ชิน พอเราอยู่ร่วมกับคนหมู่มากจนกระทั่งใจสงบได้ อยู่ไหนก็อยู่ได้ แต่ถ้าอยู่กับคนหมู่มากแล้วเราสงบไม่ได้ หนีเข้าป่าไปสงบ ออกมาเจอคนมันจะพัง ท่านเองก็ไม่เอา ให้ไปอยู่ที่เกาะก็ไม่เอา บอกว่า "ไม่ภูมิใจ ท่านไม่ได้ทำด้วยตัวเอง" เลยให้ไปอยู่ที่วัดถ้ำทะลุ เพราะที่นั่นเราทำกุฏิไว้ให้แค่สองหลัง ที่เหลือคุณไปจัดการกันเองก็แล้วกัน
ตอนนี้จะได้ภูมิใจ ไปฟัดกับชาวบ้านเขา ถ้ำทะลุเปลี่ยนเจ้าอาวาสมาสี่รายติด ๆ กันแล้ว เพราะว่ากรรมการวัดพยายามจะควบคุมพระ แล้วพระส่วนใหญ่ที่เราส่งไปอยู่คือพระปฏิบัติ เขาเลยอยู่ไม่ได้ เพราะพระปฏิบัติเรื่องซิกแซ็กเลี้ยวไปเลี้ยวมา เขาไม่เอาอยู่แล้ว เขาต้องตรงไปตรงมาตามพระวินัย เขาก็อยู่ไม่ได้ เขาก็ขอบายไปกันหมด รายสุดท้ายอาจารย์นนท์กับท่านยิ้ม สองรายเจ้าอาวาสติด ๆ กันเลย ไปกันหมด มาถึงบอก "อาจารย์ครับ ผมอยู่ไม่ได้แล้วครับ" ตอนแรกเราก็ว่าปัญหาอะไรเยอะแยะ
พอท่านแสงไปอยู่ถึงจะรู้ พูดง่าย ๆ คือ ถ้าหากว่าเขาเองเป็นพวกไม่ได้ เขาจะหาทางงัดให้กระเด็นไป ของท่านแสงไปแจ้งความว่ามันไปทำไม้ในวัด พวกเขาทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า "พระสั่งให้ทำ...!" เอากับมันสิ ถ้าหากว่าตำรวจเขาจับไปจริง ๆ นี่ ติดคุกไม่รู้ตัวเลยนะ เพราะทุกคนยืนยันว่าพระสั่งให้ทำ ก็พวกเขาทั้่งนั้นนี่ เขาสั่งอย่างไรก็ได้ แล้วนิสัยของท่านแสงก็ไม่เหมือนเรา เราประเภทยิ้มไปเรื่อย ยิ้มเมื่อไรเอ็งใกล้ตายแล้ว ไม่รู้ตัวหรอก ของท่านแสงเขาจะโผงผางแล้วคนจะรู้
ฟังดูแล้วชีวิตพระไม่ได้อยู่ง่ายเลยนะ สะสมกำลังเอาไว้ ปฏิบัติให้มากไว้ กำลังใจมั่นคงจริง ๆ คราวนี้จะรับงานอะไรก็ได้ โดยเฉพาะพระนี่ครูบาอาจารย์ที่เสีย ๆ ไปเยอะเลย เพราะจุดนี้แหละ เพราะว่าโยมเขาไม่เข้าใจ พระมีอยู่ ๒ ประเภท ประเภทหนึ่งกำลังใจท่านตัดแล้วตัดเลย ได้แล้วไม่มีวันเสื่อมอีก อีกประเภทหนึ่ง กำลังใจท่านแค่กดกิเลสเอาไว้เท่านั้น กดกิเลสหรือตัดกิเลสได้นี่ออกอาการเหมือนกัน คือคนจะเริ่มเห็นความดี พอเริ่มเห็นความดีคุณนิมนต์ ผมนิมนต์ก็ว่าไปเรื่อย รับนิมนต์หัวไม่วางหางไม่เว้น ไม่มีเวลาปฏิบัติ คราวนี้ความชั่วมันตีกลับละสิ ไม่มีแรงไปกดมันแล้ว เลยพังกันเป็นแถบ ๆ
อย่างอาจารย์นิกร อาจารย์ยันตระ หลวงพ่อภาวนาพุทโธ นั่นจริง ๆ น่าเสียดาย ลูกศิษย์ท่านเยอะมากเลย แต่คราวนี้เขากันประเภทหัวไม่วางหางไม่เว้น ก็แย่ ของเราอย่างไม่มี ๆ เดือนมกราคมเดือนหนึ่งต้องมีเวลาเป็นของตัวเอง ไม่รับใครทั้งนั้นแหละ อย่างน้อย ๆ ขอภาวนาให้เต็มที่หน่อย ประมาทไม่ได้หรอก
ถาม : การขอสัตตาหะของพระในระหว่างเข้าพรรษา ?
ตอบ : "สัตตาหะ" แปลว่า เจ็ด "สัตตาหะกรณียะ" เมื่อมีกรณีจำเป็นไปได้ไม่เกิน ๗ วัน เขาให้พ่อป่วย แม่ป่วย ครูบาอาจารย์ป่วย ไปเพื่อช่วยรักษาพยาบาลได้ สหธรรมมิก คือเพื่อนพระที่อยู่ต่างวัดจะสึก ไปเพื่อช่วยห้ามปรามได้ วัดพังหรือทรุดโทรม ไปหาทัพสัมภาระมาเพื่อซ่อมสร้างวัดไปได้ ได้รับกิจนิมนต์ ไปเพื่อเจริญศรัทธา ไปได้ อย่างของเรามารับสังฆทาน ก็เข้าข่ายรับกิจนิมนต์ ถ้านอกเหนือกว่านี้แล้ว ส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านอนุญาต แต่ระยะหลังเท่าที่เจอ คือมันอยากไป มันก็สัตตาหะ จริง ๆ นั่นขาดพรรษานะ เพราะไม่ได้อยู่ในข่ายที่พระพุทธเจ้าท่านอนุญาต
ถาม : ...........................
ตอบ : ตอนนี้น่ากลัวมาก เพราะว่าสถานการณ์ทุกอย่างบีบเข้ามาในลักษณะทดสอบเรา ว่าจะหลงไปกับพวกชื่อเสียงลาภยศหรือเปล่า ? อยู่ ๆ โยมทางชุมพรไปโดนเขายิงหน้าบ้านตัวเองเข้า ๔๖ นัด แล้วไม่เป็นอะไรเลย นอกจากเขียว ๆ ช้ำ ๆ รถพังทั้งคันเลย แล้วทั้งเนื้อทั้งตัวก็แขวนพระที่เราให้ไปองค์เดียว คือถ้าเขาแขวนหลาย ๆ องค์ เรายังบอกได้ว่า คงเป็นของวัดโน้นวัดนี้มั้งที่ช่วย ไม่ใช่ของเรา อันนี้เท่ากับหมากบังคับ พอเสร็จมันก็แห่กันมา จะเอาพระรุ่นนั้น พอไม่ให้มันก็นั่งล้อมกุฏิอยู่นั่นแหละ แจกไปตั้งหลายปีแล้วจะไปเหลืออะไร
ในลักษณะนี้แหละ ถ้าหากว่าเราไปหลงมัน ก็จะไปติดอยู่แค่นั้น จะไม่มีความก้าวหน้า แบบเดียวกับที่ออกจากวัดท่าซุงมา เพราะว่าช่วงนั้นจะโดนเขายัดไปอยู่ในที่ ๆ เรียกว่า จะทำให้เราไม่ก้าวหน้าแล้ว พระพี่พระน้อง ๔๐ กว่าองค์ ถ้าบอกซ้ายหันก็หัน บอกขวาหันก็หัน หลวงพี่นันต์อยู่ฐานะเจ้าอาวาสจะทำอะไรต้องถามเราก่อน ว่าเราเห็นด้วยไหม ? ถ้าไม่เห็นด้วย แกก็ไม่กล้าทำอยู่อย่างนั้นเป็นมาเฟียชัด ๆ กลายเป็นโดนยกขึ้นที่สูง คนอยู่ที่สูงไม่จำเป็นต้องไปดิ้นรนแล้ว คราวนี้แหละจะจมตายอยู่ตรงนั้น ถ้าน้ำไม่ไหล ก็แปลว่าเตรียมเน่าได้
เพราะฉะนั้น...ถ้าอยู่ที่ไหนก็ตาม ถ้ารู้ตัวว่าอยู่ที่ ๆ ทำให้เราเฉื่อยชา ไม่รู้จักแสวงความก้าวหน้าต่อ อย่าไปอยู่เลย โดยเฉพาะความก้าวหน้าทางใจ และพอยิ่งทำขึ้นไป ๆ การทดสอบจะยิ่งหนักขึ้นไปเรื่อย ๆ พวกคุณคอยสังเกตเอา พอไปถึงระยะหนึ่งจะอยู่ในลักษณะว่า ทำเพื่อความสุขตัวเองโดยไม่รู้ตัว ไม่ได้ทำเพื่อพระศาสนา ไม่ต้องดูใคร ดูไอ้ทิดตู่ คุณมุดเข้าห้องมันก็เห็น ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ พัดลม ตู้เย็น วีดีโอ อะไรบานเบิกเลย ต่อให้โยมเต็มใจให้ก็จริง แต่กลายเป็นว่าถ้าเราเผลอเมื่อไร เราจะไปติดสุขอยู่แค่นั้น ก็กลายเป็นว่าทำเพื่อบำรุงบำเรอตัวเอง ไม่ได้ทำเพื่อพระศาสนา ขาดสติไม่ได้เลยของอย่างนี้ ถึงโยมเขาจะให้รถให้ลาใช่ไหม ถึงเวลาทำกุฏิติดแอร์ให้อย่างดี ลองเข้ากุฏิอาตมาสิ ไฟยังไม่ค่อยอยากจะเปิด โยมเขาก็สงสัย บอกว่า "ช่วยกันประหยัดหน่อย" ไม่จำเป็นจริง ๆ เราไม่ต้องเปิดไฟ อยู่มืด ๆ อ่างนั้นแหละ พัดลมมีก็ไม่ต้องใช้กับใคร พอทนได้ก็ทนเอา ไม่อย่างนั้นเสียนิสัย ถ้าเราไม่รู้ตัว มันจะเสร็จ
มารเขาเก่งจริง ๆ เขาใช้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบข้างของเราทดสอบอารมณ์เราได้หมด เรื่องที่ไม่น่าโกรธก็ชวนให้เราโกรธได้จริง ๆ ไม่พอหู ไม่พอตาเท่านั้น มันไม่พอใจแล้วล่ะ แล้วเราก็เก็บสะสมไปสิ คราวนี้ขยันเก็บใช่ไหม พวกประหยัดมัธยัสถ์เก็บออมท่าเดียว นาน ๆ พอลูกโป่งเต็มที่มันก็ระเบิด
เพราะฉะนั้น...เผลอไม่ได้หรอกจ้ะ รักที่จะปฏิบัติต้องมีสติสัมปัญชัญญะมาก ๆ เลย พลาดเมื่อไรมันสอยเราร่วงจริง ๆ คราวนี้เสียดายพี่ ๆ น้องเขา ส่วนหนึ่งที่วัดท่าซุงประเภทที่เรียกว่า ถ้าจะเปรียบให้หนัก ๆ เหมือนกับกบในกะลาครอบ ภูมิใจในความเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ ภูมิใจในความเป็นพระวัดท่าซุง ไม่ได้ลืมหูลืมตาดูโลกภายนอกว่าไปถึงไหนแล้ว ในเมื่อมีความภาคภูมิอยู่แค่นั้น ก็จะไม่มีความกระตือรือร้นดิ้นรนขวนขวายในสิ่งที่ดีกว่า
คนที่ไม่คิดจะเดินไปข้างหน้าแล้วโลกหมุนไปทุกวัน เท่ากับถอยหลังเองแล้วนะ ลองยืนอยู่กับที่สิ โลกมันไปอย่างนี้ เท่ากับถอยหลังชัด ๆ เลย ถึงได้บอกว่าเป็นห่วง แต่ว่าเราออกมาแล้วก็แล้วกันงานข้างนอกมีให้ทำเยอะเหลือเกิน ไม่ใช่ว่าต้องไปจมปลักอยู่ในวัดอย่างเดียว งานไม่กว้างไกล ในเมื่อเราออกมาข้างนอก เราทำงานได้เท่าไรก็ทำไป แต่ว่าให้เรามีสติรู้ตัวอยู่ตลอดว่าทำอะไร ? เพื่ออะไร ? วันแรกที่บวชเข้ามา เราตั้งใจไว้อย่างไร ? อย่าลืมความตั้งใจ ไม่ใช่พอชื่อเสียงลาภยศเข้ามาถึง แล้วลืมความตั้งใจ มัวแต่ไปเสวยสุขเพลิดเพลินอยู่กับมัน ตาย... ! ทุกอย่างที่มารเอามาให้นั่นน่ะ ประเภทน้ำตาลเคลือบยาพิษ เผลอกินหวานลิ้นไปเรื่อย ถึงเวลาเจอยาเข้ามันตาย แก้ตัวไม่ทัน ท่านตู่มันตายไปแล้ว คุณเห็นหรือยังว่ามันดึงไกลออกไปเรื่อย
ถาม : เห็นว่าจะกลับมาใหม่ มีแววไหมครับ ?
ตอบ : กลับมาใหม่น่ะดี น่าจะเป็นอย่างนั้น มันอยู่สงบมาขนาดนั้น แล้วอยู่ ๆ ไปทำมาหากิน มีลูกมีเมีย ประสาทกินก็เผ่นกลับมา มันลำบาก คนที่เคยอยู่แบบสบาย ๆ แล้วต้องไปรับภาระอะไรทุกอย่าง จนกระทั่งบัดนี้น่ะ เวลารุ่นน้อง ๆ มา เราเห็นหน้ามันแล้ว เราก็สงสารมัน มันแก่จริง ๆ แล้วก็เที่ยวมาโวยวาย ว่าเราทำไมไม่แก่ซักที จริง ๆ เราแก่กว่ามันเยอะเลย เพียงแต่เราไม่ได้เครียดเท่ามันเท่านั้นเอง จำอาจารย์ประภาสได้ไหมเล่า ? นี่ก็น้อง หัวมันไปครึ่งบ้านแล้วดูสิ ลูกศิษย์ด้วย ไม่ใช่น้องเฉย ๆ เลยกลายเป็นความผิดของเราที่ไม่ยอมแก่
ถาม : สมัยก่อนตอนทำงานใหม่ ๆ นะคะ พระแถวบ้านจะมาบิณฑบาตประจำ ท่านหล่อจริง ๆ เลย แล้วอยู่ไม่เท่าไรท่านก็สึก ดูเท่าไรก็ไม่หล่อแล้ว ?
ตอบ : พระตอนบวชน่ะ ถ้าหากว่าศีลสมบูรณ์นะ ราศีจะจับ ดูอย่างไรก็ดี เรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก พอบวชพระแล้วจะดูดีทุกองค์ ผู้หญิงก็ประเภทอย่างนั้นแหละ พอถึงเวลาก็เมียง ๆ อยู่รอบข้างนั่นแหละ
สมัยที่ยังอยู่ก็อยู่ในลักษณะที่บางครั้งมีอะไรเราก็ว่าตรง ๆ ไอ้เจ้าหงส์มันทำให้สะดุ้ง เพราะว่าปกติแล้วจะไม่ยอมให้ผู้หญิงเข้าใกล้เลย ประเภทไล่ได้ไล่ ด่าได้ด่า ตอนนั้นรู้สึกว่าประมาณพรรษาที่ ๓ เขาเอาของขวัญปีใหม่มาถวาย บอก "เออ...โชคดีมีชัย ขอให้อยู่ดีมีสุขนะ" เขาว่าอย่างไรรู้ไหม ? เขาว่า "หลวงพี่พูดดี ๆ กับเขาเป็นเหมือนกันนะ" โอ้โฮ...ไอ้เราต้องทบทวนตัวเองใหม่เดี๋ยวนั้นเลย ตายละวะ...! ก่อนหน้านั้นเราปากร้ายขนาดนั้นเลยหรือ คือไอ้ความที่กลัวอาบัติ ไม่ยอมให้เข้าใกล้เลย ประเภทไล่ได้ก็ไล่ ด่าได้ก็ด่า บอกไปห่าง ๆ เลย แล้วเนื่องจากเป็นคนพูดตรงจนชิน ก็มีโยมบางคนประเภทถึงเวลาก็เลี้ยวไปเลี้ยวมารอบพระอยู่นั่นแหละ ไอ้เราก็ประเภทเห็น ๆ แล้วอดไม่ได้ เลยถาม "ถามจริง ๆ เถอะโยม ไอ้ผู้ชายข้างนอกวัดไม่มีแล้วหรือ ?" เขาว่าอย่างไรรู้ไหม ? เขาบอกว่าา "พระบวชหลาย ๆ พรรษา อย่างไรก็มั่นใจว่าไม่เป็นเอดส์...!" (หัวเราะ) โอ้โฮ...มันก็ตอบตรงเหมือนกัน เรากล้าพูด มันก็กล้าตอบ เอากับมันสิ...!
ถาม : แล้วท่านว่าอย่างไรคะ ?
ตอบ : จะไปว่าอย่างไรล่ะ เจตนามันมุ่งมั่นแล้ว ไอ้เราก็ต้องปล่อยให้พระท่านรักษาตัวของท่านเองก็แล้วกัน เสียท่ามันเมื่อไรก็เสร็จ
ถาม : เดี๋ยวนี้เอาซึ่ง ๆ หน้าเลย ?
ตอบ : แหม...ประเภทบอกกันตรง ๆ จริง ๆ เว้ากันซื่อ ๆ ไอ้เราถามตรง ๆ เขาก็ตอบตรง ๆ บวชหลาย ๆ พรรษาหน่อย มั่นใจได้ไม่เป็นเอดส์...!
ถาม : แล้วเวลาพระโทรมาคุยอย่างนี้ เราบาปไหมคะ ? แต่เราไม่ได้ไปสนใจ ท่านก็โทรมาหาเอง
ตอบ : ถ้าไม่มีธุระปะปังอะไร ก็บอกท่านให้สวดมนต์ ทำวัตร ภาวนาบ้าง ไม่ต้องโทรมาหาโยมหรอก เพราะศีลพระศีลใหญ่อยู่ข้อหนึ่งบอกว่า "ภิกษุพูดจาเกี้ยวหญิงด้วยจิตกำหนัด ต้องสังฆาทิเสส" เผลอเมื่อไรขาดความเป็นพระเลย
ถาม : ก็เลยยุติค่ะ หลัง ๆ บอกว่าไม่อยู่ โกหกบาปหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถือว่าช่วยท่าน ได้บุญมากกว่า โกหกน่ะบาปแน่ แต่บาปน้อยกว่าลงทุนได้เอาเถอะ
ถาม : .........................
ตอบ : เรื่องอย่างนี้มารเขาเก่ง เขาพายามจะเลียบเคียงมาทุกวิถีทาง สำคัญอยู่อย่างเดียวว่า ตบมือข้างเดียวมันไม่ดัง ต่อให้เวียนมาขนาดไหนก็ตาม ก็เท่ากับตบมือข้างเดียว คุณอย่ายื่นหน้าไปให้มันตบก็พอ ยื่นหน้าไปให้มันตบเมื่อไรมันดังแน่ ๆ ระวังเอาไว้เถอะ ไอ้ท่านตู่ที่มันพัง เพราะว่าสาวอยู่รอบข้างมันเยอะไป
คราวนี้ตัวเองประเภทที่เรียกว่า ทำโน่นทำนี่เสียจนไม่มีเวลาที่สร้างกำลังใจให้กับตัวเอง นานไปเกราะป้องกันมันก็พัง ก็อยู่ไม่ได้ ยกตัวอย่าง "ครูพรรณี" ครูพรรณีนี่จะไปวัดทุกวัน แกเป็นครูสอนอยู่โรงเรียนอะไรก็ไม่ทราบที่อุทัย แกจะไปวัดท่าซุงทุกวัน ตอนเช้าก่อนจะไปทำงานขี่รถไปส่งปิ่นโตพระ พอพระยะถาสัพพีให้พรเสร็จ แกก็ข่รถไปสอนเด็กของแก เย็น ๆ ก็มาวัดช่วยทำความสะอาดวัด พอถึงเวลาใกล้เวลาพระจะทำวัตรห้าหกโมงเย็น แกก็ขี่รถกลับ แกทำอย่างนั้นทุกวัน ๆ ปีแล้วปีเล่าก็ทำอยู่แค่นั้น
ในที่สุดหลวงพี่บัญชาก็สึกตามแกไป แกไม่ได้พูดอะไรซักคำนะจริง ๆ ไอ้คนไปด่าแกโขมงโฉงเฉง มาบ่นกับเรา เราบอกว่า "หยุดเลย ถ้าใครด่าครูพรรณี อาตมาจะด่ามันด้วย" แกมาแกทำอะไรที่มีทีท่าผิดปกติซักนิดหนึ่งไหม ลองนึกดูสิ ? ไม่มีเลย พระของเรามันทนไม่ได้ ตามเขาไปเอง จะไปโทษใคร เห็นความดีของโยม
คราวนี้ก็อย่างว่าแหละ โยมที่เคยเคารพนับถือกันอยู่ ถึงเวลาอ้าว...สึกไปอยู่กับคนนั้นนี่ ก็ด่าเช็ดไปเลยอย่างไร แต่จริง ๆ ตำหนิเขาไม่ได้เลย อย่างไอ้ทิดก้อง ทิดก้องก็เหมือนกัน เจอสาวใช้วิธีซึมลึกอย่างนี้แหละ เคยคบเคยหากันมาก่อน ถึงเวลาเดือนหนึ่งลางานได้ก็ไปอยู่วัด เอาข้าวเอาของไปประเคนแล้วก็กลับ ถึงเวลาก็ไปวัด เอาข้าวของไปประเคนแล้วก็กลับ เขาทำแค่นั้นแหละ ปรากฏว่าไอ้ทิดก้องมันทนไม่ได้ มันสึกเองช่วยไม่ได้ เขาไม่ได้พูดอะไรสักอย่าง ตีว่าเขาไปทำบุญก็ได้ใช่ไหม ? ต้องบอกว่า "ยื่นหน้าไปให้เขาตบ" เขาตบมือข้างเดียวไม่ดังเสียหน่อย ยื่นหน้าไปให้เขาตบ
อาตมาเองยังไม่รู้เลยว่าตัวเองจะยื่นหน้าไปให้ใครตบหรือเปล่า มีคนเขาถาม "อาจารย์ครับ หลวงพี่ครับ ไม่คิดจะสึกบ้างหรือ ?" ไอ้เราก็บอกว่า "ถ้ากำลังใจอยู่อย่างนี้ ไม่คิดจะสึกหรอก สบายใจอยู่" แต่คราวนี้เราไว้ใจตัวเองไม่ได้ ถ้าเผลอเมื่อไรกำลังใจลดลง นึกอยากสึกขึ้นมา อาจจะไปได้ทุกเวลาเหมือนกันเพราะไอ้คนอย่างเราไม่กลัวอะไรอยู่แล้ว เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ เมื่อไรก็พร้อม
แต่คราวนี้พอกำลังใจแบบนี้มันแปลก ๆ เหมือนกับว่าเปิดทางตัวเองให้พร้อมที่จะไป ในเมื่อไปเมื่อไรก็ได้ เลยอยู่ไปเรื่อย ๆ แต่ว่ามีหลายคนที่บวชแล้วตั้งใจว่า บวชแล้วจะไม่สึก โอ้โฮ...ประสาทกินไปเยอะแล้ว เหมือนกับไปท้าทายเขา ปิดทางแล้ววิ่งไปถึงตรอกตันมันจนตรอกแล้วไปไหนไม่รอด ก็ต้องตะลุมบอนกับเขาใช่ไหม สู้ได้ก็รอดไป สู้ไม่ได้ก็เจ๊ง ของเรานี่เปิดโล่ง ๓๖๐ องศา ไปทุกทาง พร้อมเมื่อไรสึกเมื่อนั้น เมื่อคิดแบบนี้ก็สบายใจ ไม่ต้องมานั่งกลุ้ม กำลังใจเคยเจอมาตั้งแต่สมัยเป็นฆราวาส บวชใหม่ ๆ นี่ โอ้ย...หกล้มหกลุกวันหนึ่งเป็นร้อยครั้ง เพราะฉะนั้น...ประมาทไม่ได้ ถึงตอนนี้จะเย็นสบายใจก็ตาม ใครจะไปรู้ว่าจะพังเมื่อไร
|